วันเสาร์ ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / ข่าว Like สาระ
ส่องปัญหาครอบครัวไทย(1) อยู่ให้รอดยุคนี้‘เหนื่อยหนัก’

ส่องปัญหาครอบครัวไทย(1) อยู่ให้รอดยุคนี้‘เหนื่อยหนัก’

วันเสาร์ ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.
Tag : ครอบครัวไทย เหนื่อยหนัก อยู่ให้รอด
  •  

“เลี้ยงไปจนตาย หมายความว่า 1.เขาจะคิดว่าตัวเองเอาตัวรอดไม่ได้เลยใช่ไหม? ถึงแม้จะเรียนจบจากสถาบันอุดมศึกษาแล้ว 2.ถึงแม้จะเอาตัวรอดได้และหางานทำได้ ก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะสามารถอยู่ในสังคมได้อย่างรอดและปลอดภัยหรือเปล่า? จำเป็นต้องมีหลักบางอย่าง ตัวเป็นๆ ขอเงินใช้ได้จริงอย่างแม่ ก็เลยกลับมาข้อ 3.แม่กับพ่อก็ค่อนข้างจะดูแลอย่างใกล้ชิด แล้วอะไรที่ทำให้เขาคิดแบบนี้? นั่นก็คือว่าสังคมที่เขาอยู่มันเป็นแบบไหน? ที่ทำให้เขารู้สึกว่าเขาเอาตัวรอดไม่ได้แน่ๆ ตามลำพัง”

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ บรรณาธิการบริหาร Mutual ผู้สื่อสารประเด็นสุขภาวะทางใจของเยาวชน กล่าวในวงเสวนา “ถ้าโชคไม่ช่วย ชีวิตต้องเปลี่ยนด้วยนโยบาย” เปิดประเด็นชวนคิดจากข้อความ “ไหนๆ แม่ก็เลี้ยงเรามาจนโตแล้ว จะเลี้ยงเราจนตายเลยไม่ได้หรือ?” ที่ลูกซึ่งกำลังเรียนอยู่ในระดับมหาวิทยาลัยส่งมาให้ ในตอนแรกเหมือนเป็นข้อความตลกขบขัน แต่เมื่อลองนำไปโพสต์ต่อในเฟซบุ๊ก ก็มีเยาวชนวัยเดียวกับลูกที่เข้ามาตอบว่าตนเองก็ส่งข้อความนี้ให้พ่อหรือแม่เหมือนกัน จากเรื่องขำๆ ก็กลายเป็นภาพสะท้อนความคิดบางอย่างของคนรุ่นใหม่ยุคนี้    


ตัวอย่างของสิ่งที่น่าจะเป็นข้อกังวล เช่น เรียนจบมาทำงานแล้วรายได้จะเพียงพอกับค่าครองชีพหรือไม่ หรือนโยบายความคุ้มครองทางสังคมคุ้มครองได้จริงหรือไม่ อย่างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง 30 บาท) ที่ทำให้ดัชนีสุขภาพของประเทศไทยอยู่ในเกณฑ์สูง แต่เมื่อดูในรายละเอียด กว่าจะได้พบแพทย์ต้องตื่นแต่เช้ามืดเพื่อไปโรงพยาบาล “มีขนมหลายชั้นซ่อนอยู่บนพรมที่สวยงาม” ซึ่งในฐานะแม่คนหนึ่งย่อมเป็นห่วงลูกที่รู้สึกว่าจะเอาตัวรอดไม่ได้ แต่จะทำอย่างไรให้รู้สึกว่าเขามีความหวังอยู่ปลายทางลิบๆ และมีแรงที่จะสู้หรือเดินต่อ

ขณะที่ ร่มเกล้า ช้างน้อย  ครูชำนาญการ โรงเรียนเทพศาลาประชาสรรค์ จ. นครสวรรค์ เล่าว่า เมื่อ 3 ปีก่อน เคยเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนมัธยมในกรุงเทพฯ ก่อนจะย้ายไปอยู่ใน จ.นครสวรรค์ โดย ร.ร.เทพศาลาประชาสรรค์ อยู่ห่างจากตัวจังหวัดนครสวรรค์ไปทาง อ.แม่วงก์ ประมาณ 60 กิโลเมตร เด็กต้องตื่นแต่เช้ามืด นั่งรถประจำทางที่เรียกว่า “รถคอกหมู” มาเรียน และเมื่อเลิกเรียนในเวลาประมาณ 15.00 น. ก็จะมีรถมารอรับกลับทันที นอกจากนั้นเด็กบางคนยังต้องช่วยพ่อแม่ขุดมัน ถึงจะมาหลับในห้องเรียนแต่แค่มาโรงเรียนก็ดีใจแล้ว

แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ “แม้จะอยู่ชั้น ม.1 แต่ก็ยังพบเด็กที่มีปัญหาอ่านไม่ออก – เขียนไม่ได้” ซึ่งก็ไม่รู้ว่าสอบขึ้นมาถึงชั้น ม.1 ได้อย่างไร หรือแม้จะอ่านออกแต่ก็ไม่เข้าใจความหมายของสิ่งที่อ่าน แต่เรื่องนี้เป็นปัญหาซับซ้อน โดยมีครูท่านหนึ่งให้ข้อมูลว่า หากไปดูความเป็นอยู่ในครอบครัว “เด็กที่มีปัญหานั้นอยู่กับยาย เพราะพ่อแม่ต้องไปทำงานในกรุงเทพฯ...ซึ่งยายก็อ่านไม่ออก – เขียนไม่ได้เหมือนกัน” จึงไม่สามารถช่วยสอนเด็กได้เมื่ออยู่ที่บ้าน

“นึกภาพนะ พอมันยิ่งห่างไกลไปเรื่อยๆ ผู้ใหญ่ก็ไม่ได้มีเวลาขนาดนั้น ต้องไปทำไร่ทำนาเหมือนกัน มันเลยทำให้ตอนทำกิจกรรมที่โรงเรียน อันนี้พีคมาก คือเราใช้กิจกรรมเดียวกัน ผมกับครูท่านนั้น ก็คือเขาเรียกว่า ‘ตาราง 9 ช่อง’ ก็จะเขียนเลข 1 2 3 4 5 6 7 8 9 ข้อที่ 1 จะให้เด็กเขียนมาเมื่อเช้าทานอะไรมา? เด็กก็จะเขียนคำตอบไว้ ข้อที่ 2 ชอบดูภาพยนตร์เรื่องอะไร?

ไล่ไปเรื่อยๆ ข้อ 8 ลักษณะของคนที่เราชอบ ข้อ 9 ลักษณะของคนที่ไม่อยากเข้าใกล้ วิธีการเล่นก็คือพอตอบเสร็จจะต้องลุกไปหาคนที่เหลือว่ามีใครที่เหมือนเราบ้าง แต่ถ้าเกิดมีคนที่ตอบเหมือนเราให้เขียนชื่อเพื่อนคนนั้นลงไปเพื่อให้เขาได้รู้จักกัน เด็ก ม.1 คนนี้เล่นไม่ได้ เพราะตั้งแต่เขียนไม่ได้แล้ว นี่ของ ม.1 นะ อ่านไม่ออก – เขียนไม่ได้เป็นปัญหาเบื้องต้น” ร่มเกล้า กล่าว

ครูท่านนี้เล่าต่อไปว่า ในส่วน “กิจกรรมรับนักเรียนชั้น ม.4” แม้ทุกคนจะอ่านออก – เขียนได้ แต่จะพบปัญหาอีกรูปแบบหนึ่งคือ “ขาดทักษะทางสังคม” จากตัวอย่างกิจกรรมข้างต้น จริงอยู่ที่หลายคนเป็นนักเรียนใหม่ แต่ที่ผ่านมาไม่เคยเห็นปัญหาเด็กประสบความยากลำบากในการทำความรู้จักกับเพื่อนนักเรียนมากขนาดนี้มาก่อนเท่ากับการจัดกิจกรรมในครั้งล่าสุดที่เพิ่งผ่านไปแบบสดๆ ร้อนๆ ก่อนที่จะมาร่วมเป็นวิทยากรในวงเสวนานี้

ซึ่งจากสิ่งที่พบดังกล่าว “ไม่อยากโทษเกมหรือสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ว่าเป็นผู้ร้าย แต่จากการไล่อ่านคำตอบของนักเรียนแล้วพบว่าเด็กที่มีปัญหานี้จะระบุงานอดิเรกว่าเล่นเกมหรือเล่นโทรศัพท์มือถือ จึงมองว่าสิ่งเหล่านี้ทำให้เด็กอยู่กับตนเองหรือโลกออนไลน์จนไม่มีมิติทางสังคม” อยู่ห่างไกลมนุษย์ออกไปเรื่อยๆ กิจกรรมที่จัดให้นักเรียนทำความรู้จักกัน โดยปกติแล้วเด็กจะทิ้งความเขินอายเพื่อเข้าไปทำความรู้จักกันเรียนคนอื่นๆ จนได้ แต่ครั้งล่าสุดที่พบมีแม้กระทั่งเด็กตอบได้เพียง 2 ข้อ หันมาบอกครูว่าอยากกลับบ้านแล้ว        

ทั้งนี้ ก่อนเข้าสู่ช่วงเปิดเทอมอย่างเป็นทางการ ทางโรงเรียนจะมีกิจกรรม “ก้าวใหม่สายใยรัก” ให้นักเรียนชั้น ม.1 และ ม.4 มาทำกิจกรรมร่วมกัน อย่างไรก็ตาม ในปี 2568 นี้ตอนแรกตั้งใจว่าจะไม่ได้จัด โดยเปลี่ยนเป็นการสอนปรับพื้นฐานแทนเป็นเวลา 2 วัน แต่เมื่อสอนแล้วครูตั้งคำถามในบทเรียนกลับไม่มีนักเรียนแม้แต่คนเดียวที่ยกมือตอบ จึงเห็นว่าต้องขอเจียดเวลา 2 ชั่วโมงในช่วงสอนปรับพื้นฐานมาทำกิจกรรมละลายพฤติกรรมร่วมกัน ซึ่งรวมถึงการสร้างความคุ้นเคยระหว่างครูกับนักเรียนด้วย และเมื่อเห็นว่าเด็กกล้าพูดคุยไม่เงียบแล้วก็ดีใจ

วงเสวนา “ถ้าโชคไม่ช่วย ชีวิตต้องเปลี่ยนด้วยนโยบาย” นี้จัดขึ้นเมื่อช่วงกลางเดือน พ.ค. 2568 โดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับภาคีเครือข่าย ซึ่ง ณัฐยา บุญภักดี ผู้อำนวยการอาวุโส สำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว สสส. กล่าวว่า ในทางวิชาการเป็นที่ทราบกันว่า “ฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวและระดับการศึกษาของผู้เลี้ยงดูมีผลมากกับพัฒนาการเด็ก” ขณะเดียวกันก็มีคำถามว่า “เราพัฒนาประเทศกันมาอย่างไร? ทำไมเด็ก 100 คน มีเพียงครึ่งเดียวที่ได้อยู่กับพ่อแม่” ประเทศไทยมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร?

มีตัวอย่าง เช่น ข้อมูลเมื่อ 5 ปีก่อน พบว่า ประชากรอายุตั้งแต่แรกเกิดถึง 20 ปี ซึ่งอยู่ในครัวเรือนที่ได้รับ “บัตรคนจน” หรือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 60 ในขณะที่ข้อมูลล่าสุดที่เพิ่งมีรายงานในปี 2568 เน้นไปที่เด็กปฐมวัย อายุตั้งแต่แรกเกิดถึง 6 ปี พบว่าอยู่ในครัวเรือนที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐถึงร้อยละ 70 ซึ่งปัจจุบันเด็กปฐมวัยในไทยมีไม่ถึง 4 ล้านคน ซึ่งก็น่าคิดว่าในอนาคตอันใกล้ที่เด็กไทยมีแนวโน้มเกิดน้อยลงเรื่อยๆ แล้วจำนวนเด็กในครัวเรือนยากจนจะเพิ่มขึ้นอีกมาก – น้อยเพียงใด?

ส่วนคำถามว่า “คนสมัยก่อนก็มีจำนวนไม่น้อยที่ยากจน..เหตุใดจึงมีชีวิตอยู่รอดได้ง่ายกว่าสมัยนี้?” ตนมองว่า “เศรษฐกิจและสังคมเปลี่ยนไปมากในระยะเวลาไม่ถึงชั่วอายุคน” วิถีชีวิตของคนยุคก่อน โอกาสที่เด็กจะเติบโตมาโดยอยู่กับพ่อแม่อย่างพร้อมหน้ามีมากกว่า และการทำมาหากินก็ไม่ได้ฝืดเคืองมากเท่ายุคนี้ คนยุคก่อนจึงไม่ได้กังวลกับอนาคตมากเท่ายุคนี้ที่มีเสียงสะท้อนอยากให้พ่อแม่เลี้ยงไปจนตาย อย่างคนรุ่นตน มองย้อนไปจำได้ว่าตอนยังอายุน้อยเห็นแต่อนาคตสดใส อยากเรียนจบ ดูแลตนเองได้และทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างอิสระ

“ครอบครัวต้องการทรัพยากรอะไรที่จะมาดูแลเด็ก 1 คน? ถ้ามองย้อนกลับไป เด็ก 1 คนที่เกิดขึ้นในครอบครัวที่พ่อแม่พร้อมหน้า มีปู่ย่าตายายเป็นครอบครัวขยาย เราจะชินกับข้อมูลเดิมๆ นะว่าครอบครัวไทยส่วนใหญ่เป็นครอบครัวขยาย ยุคก่อนสังคมไทยก็ขับเคลื่อนด้วยเศรษฐกิจแบบเกษตรกรรมเป็นส่วนใหญ่ การย้ายถิ่นก็มีน้อย ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นสาธารณูปโภคมันก็อยู่ใกล้ตัว

น่าสนใจเหมือนกันว่าพอเราผ่านเส้นทางการพัฒนาประเทศจากแผน 1 มาจนปัจจุบันแผน 13 (แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ) โครงสร้างครอบครัวเปลี่ยนไปตามทิศทางของแต่ละแผนหรือเปล่า? เพราะปัจจุบันครอบครัวเดี่ยวมันมากขึ้นและครอบครัวขยายลดน้อยลง และครอบครัวแหว่งกลางเพิ่มมากขึ้น แปลว่าทรัพยากรที่เมื่อก่อนมีในการที่จะดูแลเด็ก 1 คน ที่มาจากพี่ป้าน้าอาปู่ย่าตายาย เครือญาติที่อยู่ รวมไปถึงสภาพแวดล้อมที่ยังสะอาด อากาศใช้ได้ อะไรพวกนี้มันยังไม่ได้เป็นปัญหามากเท่าตอนนี้” ณัฐยา ระบุ

ผู้อำนวยการอาวุโส สำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว สสส. ยกตัวอย่างอีกว่า ในพื้นที่ออนไลน์มักจะมีคนเป็นพ่อแม่ตั้งคำถามว่า ตนเองทำงานอยู่ในเมืองใหญ่ เมื่อลูกกำลังจะเข้าสู่วัยเรียนก็อยากให้ลูกย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกัน แล้วจะให้เรียนในโรงเรียนใกล้บ้านหรือใกล้ที่ทำงาน? เพราะไม่มีใครช่วยดูแล เรื่องนี้ก็น่าคิดว่าควรจะปล่อยให้เป็นภาระพ่อแม่ต้องดิ้นรนต่อไป หรือควรย้อนกลับไปถามบทบาทของรัฐด้วย? เพราะนโยบายการพัฒนาที่ผ่านมาส่งผลให้คนหนุ่ม – สาวต้องไปเรียนหรือทำงานไกลบ้าน แต่ไม่มีกลไกใดๆ รองรับการสร้างครอบครัว

(โปรดอ่านต่อฉบับวันพฤหัสบดีที่ 5 มิ.ย. 2568)

                                                                       SCOOP.NAEWNA@HOTMAIL.COM

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • ส่องปัญหาครอบครัวไทย(จบ) ขอนโยบายสอดคล้องวิถีชีวิต ส่องปัญหาครอบครัวไทย(จบ) ขอนโยบายสอดคล้องวิถีชีวิต
  •  

Breaking News

‘สว.ตัวตึง’โวยงบช่วยเหลือภัยสงคราม 100 ล้าน มีแต่‘หนังสือสั่งการ’ไร้ตัวเงิน ‘อบจ.’ใกล้ถังแตก

ตร.เชียงรายดักรวบ! ‘คู่หูไทย-ลาว’ ขนเฮโรอีน60กิโลกรัม-คารถทัวร์มุ่งหน้าเข้ากรุง

‘กกต.’ยกคำร้อง‘สว.ระดับประเทศ’ ให้ช่วยหาคะแนน แลกเก้าอี้‘ผู้เชี่ยวชาญ’

‘พล.อ.ณัฐพล’รับเงื่อนไขกัมพูชา ให้‘สหรัฐ-จีน’ส่งผู้สังเกตการณ์ประชุมจีบีซีเฉพาะ 7 ส.ค.

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นายปรเมษฐ์ ภู่โต
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2025 Naewna.com All right reserved