"กรรม"ไม่ต้องรอถึงชาติหน้า! 'อดีตพระพรหมเมธี' กลับไทยฮึดสู้ 'คดีเงินทอนวัด'
จากมหากาพย์ "คดีเงินทอนวัด" ที่สั่นสะเทือนวงการสงฆ์และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) มานานหลายปี ดูเหมือนว่าคำว่า "กรรมตามทันตาเห็น" กำลังปรากฏเป็นรูปธรรมให้ได้เห็นเป็นบทสรุปของเรื่องราวที่เคยเป็นปริศนาและคำถามค้างคาใจสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้ต้องหาคนสำคัญที่หลบหนีไปต่างประเทศ กำลังถูกนำตัวกลับมาเผชิญหน้ากับกระบวนการยุติธรรม
คดีเงินทอนวัดเริ่มต้นขึ้นจากการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ปปป.) ตรวจสอบพบความผิดปกติในการใช้งบประมาณของ พศ. ที่จัดสรรให้กับวัดต่างๆ เพื่อบูรณะหรือเผยแผ่ศาสนา โดยมีกลโกงสำคัญคือการที่วัดจะต้อง "ทอนเงิน" ส่วนหนึ่งคืนให้กับข้าราชการ พศ. และพระสงฆ์บางรูปที่เกี่ยวข้อง มูลค่าความเสียหายรวมกันหลายร้อยล้านบาท
ในช่วงปี 2561 การจับกุมพระเถระชั้นผู้ใหญ่และอดีตข้าราชการระดับสูงของ พศ. จำนวนมาก สร้างความตกตะลึงให้กับสังคมไทย พระสงฆ์หลายรูปต้องถูกจับสึกระหว่างการดำเนินคดี ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์ที่สะเทือนขวัญและความศรัทธาอย่างมาก ทว่า ท่ามกลางกระบวนการยุติธรรมที่ดำเนินไป ผู้ต้องหาบางรายสามารถหลบหนีออกนอกประเทศไปได้ ทำให้คดีนี้ยังไม่จบสิ้นลงอย่างสมบูรณ์ และทิ้งไว้ซึ่งคำถามถึงความรับผิดชอบของผู้ที่เกี่ยวข้องที่ยังลอยนวล
แต่ "กรรม" ก็ดูเหมือนจะเริ่มส่งผลตามติดอย่างใกล้ชิดตั้งแต่ช่วงต้นปี 2568
กรณีนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ หนึ่งในผู้ต้องหาคนสำคัญที่หลบหนีไปพำนักอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกามานานหลายปี ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถหลีกหนีกระบวนการยุติธรรมได้ เมื่อทางการสหรัฐฯ ได้จับกุมตัวเขาและอยู่ระหว่างการประสานงานเพื่อส่งตัวกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย
และล่าสุดวันนี้ (5 มิถุนายน 2568) อดีตพระพรหมเมธี (จำนงค์ เอี่ยมอินทรา) อายุ 84 ปี อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศาราม ที่เคยหลบหนีไปลี้ภัยในประเทศเยอรมนี ก็ได้เดินทางกลับมาประเทศไทย เพื่อมอบตัวและเข้าสู่กระบวนการต่อสู้คดีของศาล หลังจากที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในต่างแดนอย่างหลบซ่อนมานาน
การที่ผู้ต้องหาคนสำคัญทั้งสองราย ซึ่งเคยหลบหนีการจับกุมไปได้ กลับต้องมาเผชิญหน้ากับกฎหมายในที่สุด สะท้อนให้เห็นถึงพลังของ "กรรม" ที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใด หรือจะหลบหนีไปไกลแค่ไหน ก็ไม่อาจหลีกพ้นผลจากการกระทำของตนเองได้
คดีเงินทอนวัดไม่ได้เป็นเพียงคดีทุจริตทั่วไป แต่ยังเป็นบทเรียนสำคัญที่ตอกย้ำว่า การใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือในการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนนั้น สุดท้ายแล้วย่อมนำมาซึ่งความเสื่อมเสียทั้งต่อตนเอง ต่อวงการศาสนา และต่อความศรัทธาของประชาชน และการที่ผู้กระทำผิดได้รับผลกรรมในที่สุด ย่อมเป็นเครื่องเตือนใจให้เห็นว่า "กรรม" นั้นมีอยู่จริง และเป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงได้ - 001
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี