“ส่วนใหญ่เวลาเราพูดถึงเรื่องโลกร้อน – โลกรวน เรามักจะคุยกันถึงภาคเกษตร น้อยที่จะคุยกันถึงภาคเมือง ความร้อนนี่มันไม่เข้าใครออกใคร ทุกคนเจอหมด แล้วสิ่งที่เราพบก็คือสมาชิกของเราพอมันร้อนขึ้น เช่น 40 – 41 องศา (เซลเซียส) สิ่งที่เจอก็คือเจ็บป่วย ถ้าเป็นหาบเร่แผงลอยก็บอกว่าเขาหายใจไม่ออก จะเป็นลม หรือคนที่เป็นความดันโลหิตสูงเขาก็แทบจะไม่กล้าเจอแดด ต้องรอให้แดดหายก่อนถึงจะขายของได้”
พูลทรัพย์ สวนเมือง ตุลาพันธ์ ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ (Homenet Thailand) กล่าวในเวทีเสวนา “โลกร้อน คนรวน รัฐต้องทบทวนนโยบายเพื่อคนจนเมือง” เมื่อช่วงต้นเดือน มิ.ย. 2568 ที่ผ่านมา ฉายภาพ “แรงงานในเมือง” ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหา “การเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ (Climate Change)” หรือ “ภาวะโลกร้อน (Global Warming)” เช่น หาบเร่แผงลอย นอกจากสภาพอากาศจะส่งผลต่อตัวผู้ค้าโดยตรงแล้ว ยังทำให้จำนวนลูกค้าลดลงด้วยเพราะอากาศร้อน หลายคนก็ไม่ออกมาเลือกซื้อ
หรือกลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้าน อากาศร้อนทำให้เกิดอาการคัน หงุดหงิด เครื่องมือชำรุด (เช่น มอเตอร์จักรเย็บผ้า) สำรองวัตถุดิบบางชนิดได้ไม่มาก (เช่น ยาง เพราะอากาศร้อนทำให้เสื่อมสภาพเร็ว) ทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น ครั้นจะนอนหลับพักผ่อนก็ทำได้ไม่เต็มที่ และการเปิดพัดลมหรือเครื่องปรับอากาศย่อมหมายถึงรายจ่ายในครัวเรือนอย่างค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้นด้วย ทั้งที่ค่าจ้างที่รับมาจากบริษัทผู้ว่าจ้างก็ค่อนข้างน้อยอยู่แล้ว ดังนั้นเพื่อให้มีรายได้เพียงพอก็จะต้องใช้เวลาทำงานมากกว่าคนทั่วไป ยิ่งงานเร่งก็ต้องทำแม้ยามค่ำคืน กลายเป็นรบกวนสมาชิกคนอื่นๆ ในครัวเรือน
กรรณิกา แก้วศรีสังข์ ผู้อำนวยการกลุ่มงานนโยบายเศรษฐกิจแรงงานมหภาค สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ภาวะโลกร้อนกระทบต่อสุขภาพและเศรษฐกิจของคนทำงาน ซึ่งสิ่งแวดล้อมกับคนควรไปด้วยกันและอยู่กันได้อย่างเกื้อกูล ทั้งนี้ ปัจจุบันมีความพยายามยกร่างกฎหมายส่งเสริมและคุ้มครองแรงงานนอกระบบ โดยอยู่ในระหว่างรอเสนอต่อรัฐสภาซึ่งก็ต้องใช้เวลา เชื่อว่าหากออกมาบังคับใช้ได้ก็จะช่วยคุ้มครองสิทธิของแรงงานนอกระบบได้เป็นอย่างดี
นอกจากนั้น ยังมีการส่งเสริมให้แรงงานนอกระบบสมัครเข้าร่วมกับประกันสังคมในมาตรา 40 ซึ่งเป็นสมาชิกแบบสมัครใจ แต่ก็เข้าใจว่าแม้จำนวนเงินสมทบดูแล้วไม่มากแต่ก็อาจมากสำหรับบางคน โดยภาครัฐอาจมีแนวทางลดการส่งเงินสมทบ เช่น ให้ส่งเป็นรายสัปดาห์หรือรายวันได้ เพื่อไม่ให้เป็นภาระกับผู้มีรายได้น้อยจนเกินไป อนึ่ง “ประเด็นสิ่งแวดล้อมมักมากับเทคโนโลยี..ซึ่งหมายถึงการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน” บางอาชีพอาจหายไปเพราะใช้เทคโนโลยีเก่าที่ไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
“สมัยนี้เทรนด์ของโลกมันเปลี่ยน ต้องเป็นพลังงานสีเขียว ทุกคนก็จะเน้นใช้สินค้าที่เกี่ยวข้องกับการรักษาโลก ก็คือเหมือนกับว่าอะไรที่ไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมคนก็จะไม่นิยม เพราะฉะนั้นเวลาการค้าขายหรือการผลิต คนก็จะต้องหันไปเอาใจผู้บริโภคมากขึ้น ทีนี้คนก็จะต้องปรับตัวให้เข้ากับกระแสตรงนี้ แต่ถามว่าถ้าเกิดเราเป็นลูกจ้างในโรงงานที่เป็นการผลิตสินค้าแบบเก่า ถ้าเกิดว่านายจ้างเขามีการปรับเทคโนโลยีเราก็จะต้องมีการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งที่เขาจะผลิต แต่ถ้าเกิดเราไม่มีทักษะเราก็จะตกงาน” กรรณิกา กล่าว
ผอ.กลุ่มงานนโยบายเศรษฐกิจแรงงานมหภาค สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวต่อไปว่า กรมพัฒนาฝีมือแรงงานจะมีบทบาทในการพัฒนาฝีมือแรงงานให้กับคนที่อยู่ในระบบการผลิตแบบเก่า ให้มีทักษะรองรับเทคโนโลยีการผลิตสมัยใหม่เพื่อเป็นที่ต้องการของนายจ้าง หรือคนที่ประกอบอาชีพค้าขายก็มีการพัฒนาทักษะด้านการเป็นผู้ประกอบการ มีความรู้ด้านการตลาดเพิ่มขึ้น แต่หากไม่สามารถมีทักษะที่สอดคล้องกับความต้องการสมัยใหม่ กรมการจัดหางานก็จะเข้ามาช่วยในการจัดหางานที่สอดคล้องกับทักษะที่มี
เบญจมาส โชติทอง ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาโครงการและแผนงาน สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย กล่าวว่า สัดส่วนระหว่างคนที่อยู่ในเมืองกับในชนบทคือครึ่งต่อครึ่ง แต่คนเมืองกับคนชนบทจะได้รับผลกระทบจากโลกร้อยแตกต่างกัน โดย “ความเปลี่ยนแปลงจากภาวะโลกร้อน” จะมีทั้ง 1.แบบค่อยเป็นค่อยไป จนถึงจุดหนึ่งที่เรารู้สึกว่าทนต่อไปอีกไม่ได้แล้ว กับ 2.แบบสุดขั้ว เช่น เกิดคลื่นความร้อน น้ำท่วม พายุ ฯลฯ
ทั้งนี้ “สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้โทษแต่เพียงโลกร้อนอย่างเดียว แต่ยังมีเรื่องของการพัฒนาที่ไม่ครอบคลุมและกลายเป็นซ้ำเติมให้เกิดความร้อนมากขึ้น” เช่น ตึกบังทิศทางลม สิ่งปลูกสร้างที่ก่อสร้างในพื้นที่รับน้ำ ลานจอดรถที่เป็นโครงสร้างแข็งจนน้ำไม่สามารถซึมผ่านได้ ทำให้เกิดภาวะน้ำรอระบายนานขึ้น ส่วนหัวข้อเสวนาที่ใช้คำว่าคนจน ก็หมายถึงผลกระทบต่อคนที่มีศักยภาพในการปรับตัวน้อยกว่า
“เราเห็นผลกระทบกับสุขภาพ เห็นเรื่องของความหงุดหงิด เรื่องของที่อยู่อาศัยไม่ว่าน้ำท่วมหรือความแห้งแล้ง มีคนให้ข้อมูลว่าถ้ามันแห้งการเกิดไฟมันก็จะรุนแรงมากขึ้น เราอาจจะเห็นไฟป่าตามข่าว แต่เราอาจลืมคิดว่าหมู่บ้านที่อยู่กันแออัด ถ้าเกิดความแห้งแล้งการลุกลามของไฟก็มากขึ้น แล้วน้ำรอระบายก็มีผลกระทบกับการทำมาหากิน ดังนั้นเวลาจะแก้ปัญหา ด้วยนโยบายของภาครัฐมันเป็น Sector (ภาคส่วน) เพราะฉะนั้นเวลาเราเสนอเชิงนโยบายอาจต้องชัดว่า Sector ไหน แล้วจับรวม Sector กันว่ามันต้องเชื่อมกันในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง” เบญจมาส กล่าว
ผอ.ฝ่ายพัฒนาโครงการและแผนงาน สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนสนับสนุนเรื่องการรักษาพื้นที่ธรรมชาติหรือพื้นที่สีเขียวสำหรับเป็นรับน้ำ “เราอาจไม่ชอบพื้นที่น้ำท่วมขัง..แต่นั่นคือพื้นที่รับน้ำที่จะช่วยลดผลกระทบในอีกพื้นที่หนึ่ง” โดยในต่างประเทศ การบริหารจัดการเมืองจะยอมให้มีน้ำท่วมในบางพื้นที่อย่างมีการควบคุม ไม่ใช่เพียงการผันน้ำไปยังพื้นที่รอบนอกอย่างเดียว แต่ปัจจุบันหลายจุดถูกเปลี่ยนเป็นพื้นที่เกษตรแต่เพื่อหวังผลในการลดหย่อนภาษีที่ดิน ไม่ใช่หวังผลจากการขายผลผลิตทางการเกษตรจริงๆ
วนัน เพิ่มพิบูลย์ ผู้อำนวยการบริหาร Climate Watch Thailand กล่าวว่า การพูดถึงโลกร้อนไม่ใช่เพียงเรื่องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ต้องคำนึงถึงคนที่ได้รับผลกระทบจากโลกร้อนด้วย จะอยู่อย่างไรกับโลกที่อุณหภูมิสูงขึ้นซึ่งส่งผลต่อเศรษฐกิจและวิถีชีวิตด้วย โดยเฉพาะความเป็นแรงงานนอกระบบที่เข้าไม่ถึงปัจจัยด้านทุน ต้องใช้ไฟฟ้ามากขึ้นจากการพึ่งพาเครื่องปรับอากาศ หรือชุมชนที่บ้านเรือนปลูกติดกันก็เสี่ยงกับเพลิงไหม้
“สภาพแบบนี้แม้ไม่มีเรื่องโลกร้อนก็สุ่มเสี่ยงแล้ว ไม่ได้ไปทำงานก็ไม่ได้เงิน ไม่ได้เข้าถึงสวัสดิการประกันสังคม – การปกป้องทางสังคม พอร้อนมาอีกซ้ำเติมไปอีก อันนั้นคือซ้ำเติมที่ 2 นั่นคือในเรื่องโลกร้อน ซ้ำเติมที่ 3 ก็คือทั่วโลกบวกกับประเทศไทย เรารู้แล้วว่าโลกมันร้อนขึ้น อุณหภูมิสูงขึ้น ทั่วโลกก็มีแนวทางในการจัดการ จะทำอย่างไรดีเพื่อช่วยแก้ปัญหาโลกร้อน แต่การแก้ปัญหานั้นเมื่อออกมาเป็นนโยบาย แรงงานนอกระบบ เกษตรหรือประมงที่อยู่นอกเมือง ก็ได้รับผลกระทบจากนโยบายที่พยายามจะแก้ปัญหา” วนัน กล่าว
ผู้อำนวยการบริหาร Climate Watch Thailand ยกตัวอย่างนโยบาย “ซื้อ – ขายคาร์บอนเครดิต” ซึ่งเท่ากับยังคงปล่อยให้กลุ่มทุนทำร้ายโลกได้ต่อไป เช่น บริษัท A ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ปริมาณเท่านี้ ก็ใช้วิธีจ่ายเงินซื้อเพื่อให้ประหนึ่งเหมือนกับได้ลดการปล่อย นโยบายแบบนี้เป็นธรรมหรือไม่เพราะปัญหาโลกร้อนนอกจากจะไม่ถูกแก้ไขแล้วยังไปซ้ำเติมให้เกิดผลกระทบ เช่น ต้นทุนค่าไฟฟ้ายังคงสูงขึ้น ฝนตกขายของไม่ได้
หรือนโยบาย “เมืองอัจฉริยะ (Smart City)” มีความทันสมัยและสะอาดเรียบร้อย แต่ผลอีกด้านหนึ่งอาจทำให้เมืองขาดจิตวิญญาณหรือความมีชีวิต เช่น แผงลอยหรือพื้นที่ขายสินค้าอาจถูกทำให้หายไปแล้วแทนที่ด้วยพื้นที่เทคโนโลยีดิจิทัล หรือนโยบาย “ส่งเสริมรถเมล์ไฟฟ้า” ด้านหนึ่งคือลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนและลดฝุ่น แต่อีกด้านหนึ่ง คนทำงานในภาคการผลิตชิ้นส่วนสำหรับรถเมล์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลก็จะต้องตกงาน คำถามคือมีมาตรการรองรับผู้ได้รับผลกระทบเหล่านี้หรือไม่
นโยบายที่ดีจึงไม่อาจมองเพียงด้านใดด้านหนึ่ง..แต่ต้องคำนึงถึงให้ครบทั้งวงจร!!!
SCOOP.NAEWNA@HOTMAIL.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี