ชำแหละส่งออก‘ทองคำ’สะท้อน‘ทุนเทา’ โครงข่ายไม่ได้หาย แม้สัมพันธ์ร้าว แต่ร่องรอยยังอยู่
21 ตุลาคม 2568 เพจเฟซบุ๊ก “ประชาคมแพทย์” โพสต์ข้อความหัวข้อ “ทองคำสะท้อนทุนเทา แต่ ยังจับไม่ได้ว่า พรรคการเมืองไหนมีไทยเทามากที่สุด” ระบุว่า...
“ทองคำสะท้อนทุนเทา แต่ยังจับไม่ได้ว่าพรรคการเมืองไหนมีไทยเทามากที่สุด”
1. จุดเริ่มต้นของความแนบแน่น: การเมือง–ทองคำ–มูลค่าที่พุ่งผิดธรรมชาติ
ในปี 2567 ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลพรรคเพื่อไทยของ นายเศรษฐา ทวีสิน และรัฐบาลกัมพูชาตระกูลฮุน แนบแน่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน — ถึงขั้นอดีตนายกฯ ฮุนเซน เดินทางมาเยี่ยม พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ถึงกรุงเทพฯ อย่างเปิดเผย
รัฐบาลพรรคเพื่อไทย สมัยเศรษฐา มีการส่งออกทองคำไปกัมพูชา
สูงสุดในประวัติศาสตร์ ระดับแสนล้าน !!!!
“เส้นกราฟการส่งออกทองคำจากไทยไปกัมพูชา”พุ่งขึ้นอย่างผิดปกติราวกับสะท้อนเงาความสัมพันธ์นั้น:
จากเพียง 12,562 ล้านบาทในปี 2566 กระโดดเป็น 105,982 ล้านบาทในปี 2567 เพิ่มขึ้น กว่า 700 % และในปี 2568 เพียง 7 เดือนแรก (ม.ค.–ก.ค.ช่วงนี้ก็ยังเป็นช่วงรัฐบาลพรรคเพื่อไทย) มูลค่าก็แตะ 71,312 ล้านบาท แล้ว — มีแนวโน้มทำสถิติสูงสุดใหม่กว่า 160,000 ล้านบาท ทั้งปี
ตัวเลขนี้ทำให้ทองคำและเครื่องประดับกลายเป็น สินค้าส่งออกอันดับ 1 ของไทยไปกัมพูชา มีสัดส่วนถึง 33 % ของสินค้าส่งออกทั้งหมด แซงแม้กระทั่ง “น้ำมันสำเร็จรูป” ที่เป็นสินค้าจำเป็นของประเทศเพื่อนบ้าน
กกร. (คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน) ระบุชัดว่าเห็น “ความผิดปกติ” ตั้งแต่ปี 2567 และแม้ กระทรวงพาณิชย์ กับ กรมศุลกากร จะยืนยันว่า “ไม่มีสิ่งผิดปกติ” แต่ภาคธุรกิจมองว่า จำเป็นต้องตรวจสอบเชิงลึก ถึง “ผู้ซื้อ–แหล่งเงิน” เพราะลักษณะการไหลของมูลค่า ไม่สอดคล้องกับศักยภาพเศรษฐกิจกัมพูชา
2. เสียงจากภาคธุรกิจ: “มันดูน่าสงสัย”
สำนักข่าว Bloomberg อ้างคำให้สัมภาษณ์ของประธาน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) “การส่งออกทองคำไปกัมพูชาเพิ่มขึ้นอย่างมากตั้งแต่ปีที่แล้ว มันดูน่าสงสัย... ธนาคารแห่งประเทศไทย ศุลกากร และกระทรวงพาณิชย์ควรตรวจสอบธุรกรรมเหล่านี้ เพราะอาจมาจากธุรกิจสีเทา เช่น นักต้มตุ๋นและกาสิโน — พวกเขาอาจใช้ทองคำเป็นเครื่องมือฟอกเงิน”
ในมุมมองของภาคอัญมณีเองก็สอดคล้องกัน — หากเป็นความต้องการบริโภคภายใน “เศรษฐกิจกัมพูชาที่ชะลอตัว” ไม่น่าจะดูดซับทองมหาศาลระดับนี้ได้ และหากจะนำไปแปรรูปส่งต่อ ก็สวนทางกับตลาดเครื่องประดับโลกที่หดตัว
ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เสริมว่า “ไทยส่งออกไปกัมพูชาปี 2567 ราว 9,000 ล้านดอลลาร์ ในนั้น 3,000 ล้านดอลลาร์คือทองคำ คิดเป็น 33 % สูงกว่าสินค้าอุปโภคบริโภคทั้งหมด และบริษัทผู้นำเข้ากัมพูชามีเพียง 4–5 รายเท่านั้น”
จุดนี้ยิ่งตอกย้ำข้อสงสัยเรื่อง “ความกระจุกตัวสูงผิดปกติ” — ทองคำไม่ใช่สินค้าทั่วไปที่คนจำนวนมากซื้อพร้อมกัน แต่กลับอยู่ในมือกลุ่มทุนเล็ก และใช้สกุล USD ในการชำระ ซึ่งเป็นรูปแบบที่เคยเกิดในสวิตเซอร์แลนด์และดูไบ จนทำให้ค่าเงินแข็งจากการหมุนเวียนของเงินฟอกภายในระบบ
ดร.อัทธ์ ชี้ว่า ปัจจุบันค่าเงินบาทแข็งค่าผิดปกติประมาณ 8% โดยมี 4 สาเหตุหลัก ที่ทำให้เงินบาทแข็ง 1.ดอลลาร์อ่อน (ให้น้ำหนัก 40%) เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ดี 2.ได้ดุลบัญชีเดินสะพัด (ให้น้ำหนัก 30%) ซึ่งในปี 2568 ดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นบวกเยอะ คาดว่าจะบวกเกือบ 400,000 ล้านบาท 3. NEO (ค่าความคลาดเคลื่อน) และ 4.ธุรกิจสีเทา (ข้อ 3 และ 4 รวมกันให้น้ำหนัก 30%)
3. มุมมองนักเศรษฐศาสตร์: “ทองอาจไม่ใช่ต้นเหตุ — แต่คือปลายทางของเงินเทา”
ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มเกียรตินาคินภัทร (KKP) ตั้งคำถามผ่าน Facebook: “เป็นไปได้ไหมว่า การส่งออกทองคำเป็นแค่อาการ แต่ไม่ใช่ต้นเหตุของบาทแข็ง?”
เขาอธิบายว่า หากมี “เงินไหลเข้ามาในประเทศผ่านช่องทางยากตรวจสอบ” เช่น ตลาด Crypto หรือ Exchange ที่ไม่มีการติดตาม AML เข้มงวด เงินเหล่านี้ถูกแปลงเป็นเงินบาท เพิ่ม demand ต่อ บาท ทำให้ เงินบาทแข็ง และสุดท้าย นำเงินบาทไปซื้อทองส่งออกไปประเทศเพื่อนบ้าน — เราจึงเห็น “ทองออก” ในสถิติ แต่ “เงินเทาไหลเข้า” ไม่ถูกบันทึกใน Balance of Payments (BOP)
สิ่งที่น่าห่วงคือใน BOP ของไทยมีรายการ Errors & Omissions ที่ “อธิบายไม่ได้” เพิ่มขึ้นต่อเนื่องหลายปี — สะท้อนว่ามีธุรกรรมเงินเข้า–ออกที่ระบบตรวจจับไม่เจอ
เขาจึงเสนอให้
ปรับ กฎ AML/CFT ของ Crypto Exchanges ให้เทียบเท่าธนาคาร
สร้างระบบ Blockchain Analytics เชื่อม Exchange–ธนาคาร–ศุลกากร–ปปง.–ธปท.
เพื่อเห็นเส้นทาง “เงิน–ทอง” ครบวงจร
“อย่ามองแค่ทำไมส่งออกทองเยอะ แต่ต้องถามว่า ‘ทองคือปลายทางของเงินจากไหน?’”
4. ตัวเลข “อธิบายไม่ได้” ในดุลบัญชีเดินสะพัด
นายศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานบอร์ด สศช. ยืนยันในทำนองเดียวกันว่า “ช่วง 2–3 ปีที่ผ่านมา มีเงินไหลเข้าประเทศเฉลี่ย 3,000 ล้านดอลลาร์ต่อไตรมาส และธปท. บอกไม่ได้ว่าเงินมาจากไหน”
เขาชี้ว่าเงินส่วนนี้ มีผลต่อค่าเงินบาทมากกว่าทองคำเอง และเกิดขึ้นพร้อมการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดต่อเนื่อง — สะท้อนการไหลเข้าของเงินที่ “ไม่รู้แหล่งที่มา” ในระบบจริง
5. บริบทการเมือง–ภูมิรัฐศาสตร์: ความสัมพันธ์ร้าว แต่ร่องรอยยังอยู่
กลางปี 2568 ความสัมพันธ์รัฐบาลพรรคเพื่อไทย–ตระกูลฮุน สะบั้นลงโดยสิ้นเชิง หลังวิกฤติชายแดนและปัจจัยการเมืองภายใน จน น.ส. แพทองธาร ชินวัตร พ้นตำแหน่ง แต่ ตัวเลขการส่งออกทองคำ 7 เดือนแรกยังสูงกว่าเดิม 19 %
นี่บ่งชี้ว่า “โครงข่ายทุนเทา” ที่เคลื่อนมูลค่าผ่านทองคำ ไม่ได้หายไปพร้อมรัฐบาลเศรษฐา–แพทองธาร
การค้าทองคำระดับนี้ต้องอาศัยโครงสร้าง ผู้ขนส่ง–ผู้รับซื้อ–สถาบันการเงิน ที่สานต่อได้ข้ามรัฐบาล
ปัจจุบัน รัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งขึ้นดำรงตำแหน่งกลาง ปี 2568 ได้สั่งการให้ ตรวจสอบการส่งออกทองคำไปกัมพูชาอย่างเร่งด่วน โดยมอบหมายให้ กระทรวงการคลัง และ ธปท. ดำเนินการตรวจเชิงลึก (รายงาน 15 ก.ย. 2568 จาก Bangkok Biz News) เรื่องนี้ เรากำลังรอ ผลการตรวจเชิงลึก ว่า รัฐบาล หรือ แบงค์ชาติ จะออกมาแถลงเชิงลึกอีกเมื่อไหร่ เพราะผ่านมา 1 เดือนแล้ว
6. มุมมองต่างประเทศ: “พนมเปญกำลังกลายเป็นศูนย์กลางทองคำใหม่ ?”
สื่อ Khmer Times ในกัมพูชา มองว่า
“ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ แต่สะท้อนว่าพนมเปญกำลังโผล่ขึ้นเป็นศูนย์กลางการค้าทองคำระดับภูมิภาค”
พร้อมยกเหตุผลว่า การค้าทองช่วยเพิ่มทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของกัมพูชา ซึ่งดำเนินธุรกรรมด้วย USD เป็นหลัก
7.แต่ ข่าว Shock โลก
วันที่ 14 ต.ค. 68 กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DOJ) สั่งยึด Bitcoin ของนายเฉินจื้อ นักธุรกิจจีนสัญชาติกัมพูชา มูลค่าหลายพันล้านจากกลโกงคริปโต ครั้งใหญ่ในกัมพูชา และ ปฏิบัติการของเกาหลีใต้ที่เกี่ยวข้องกับแก๊งสแกมเมอร์ในกัมพูชา เริ่มขึ้นหลังจากมีพลเมืองเกาหลีใต้เสียชีวิตจากการถูกทรมานในค่ายหลอกลวง และ สามารถช่วยเหลือพลเมืองของตนเองที่ถูกควบคุมตัวในค่ายสแกมเมอร์ได้จำนวนมาก และคุมตัวกลับประเทศ 59 คน วันที่ 17 ต.ค. 68 อาชญากรรมทั้งหมดนี้ เกี่ยวข้องกับ นายเฉินจื้อ ซึ่ง ขณะนี้ อยู่ระหว่างการหลบหนี
8. บทสรุปเชิงนโยบาย: ปรากฏการณ์ “ทองคำสะท้อนทุนเทา”
ภาพรวมข้อมูลจาก ภาคธุรกิจ–นักเศรษฐศาสตร์–หน่วยงานรัฐ สะท้อนว่า
ทองคำอาจเป็นเพียง “อาการปลายทาง” ของเงินเทาที่หลั่งไหลจากภูมิภาคเข้าสู่ไทย
ความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างผู้นำไทย–กัมพูชาในปี 2567 อาจเปิดช่องให้ทุนเทาใช้เส้นทางการค้าได้ง่ายขึ้น
การร้าวในปี 2568 ไม่ได้ทำให้เส้นทางมูลค่าหยุดเดิน ซึ่งบ่งชี้ว่าเครือข่ายนี้มีชีวิตของตัวเอง
*******************************
คำแนะนำ ของ ประชาคมแพทย์ สำหรับ ผู้อ่าน และ ประชาชนอย่างเราๆ ท่านๆ
******************************
“สิ่งที่ควรเฝ้าดูใน 3-5 เดือนสุดท้ายของปี 2568” คือ คอยฟังข่าวคราว ต่อไปนี้ (ถ้า ไม่มีข่าวใดๆ ออกมา แสดงว่า เฉดสีเทา กำลังครอบคลุมต่อเนื่องมาเรื่อยๆ แม้ว่าจะเปลี่ยนขั้วรัฐบาลแล้ว)
1.ตัวเลขส่งออกทองคำรายเดือน (มูลค่า vs ปริมาณ)
2.การแถลงของ ธปท.–กระทรวงการคลัง เกี่ยวกับ เรื่อง Balance of Payment (เงินไหลเข้า ทองไหลออก สมดุลย์มั้ย) ตัวเลข “อธิบายไม่ได้” ในดุลบัญชีเดินสะพัด ยังมีมาเรื่อยๆ มั้ย ??
3.การเชื่อมข้อมูล Crypto–ธนาคาร–ศุลกากร ตามข้อเสนอของ ดร.พิพัฒน์ คือ คลัง หรือ แบงค์ชาติได้พิจารณาที่จะ ปรับ กฎ AML/CFT ของ Crypto Exchanges ให้เทียบเท่าธนาคาร หรือยัง ??
หากตัวเลขทองคำยังพุ่ง โดยไม่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจรองรับ มันจะไม่ใช่แค่ “สถิติการค้า” อีกต่อไป
แต่คือ “สัญญาณเตือนภัย” ว่าระบบการเงินไทยกำลังถูกใช้เป็นจุดพักทุนเทาของภูมิภาค โดยไม่สนว่า ขั้วไหนจะมาเป็นรัฐบาล
ส่งท้าย ซึ่งอาจไม่เกี่ยวกับบทความนี้ นะคร้าบ !!
*โชคดีของประเทศ ที่ คนไทยไม่ต้องได้รับ Digital Wallet ซึ่งยังไม่รู้ที่มาที่ไป
**แต่ถ้า จะมีโครงการ“Digital Money” ใดๆในอนาคต และ ถูกบริหารโดยรัฐบาลที่มีเฉดสีเทา…(ปัจจุบัน ยังจับไม่ได้ว่า พรรคไหน มีไทยเทา มากที่สุด) >>>>> บิตคอยน์ในกระบวนการอาชญากรรม อาจกลายเป็น “สินทรัพย์สำรอง” สำหรับเติมกระเป๋าคนไทยก็เป็นได้
*** ประชาชนไทยลองคิดดูเอาเอง ว่าจะยอมมั้ย นโยบายแบบนี้ กับเงินดิจิทัล หากยังไม่รู้ที่มาที่ไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี