เมื่อเร็วๆ นี้ มีกระแสข่าวในโลกสังคมออนไลน์หรือโซเชียลมีเดีย เกี่ยวกับบริษัทนมไทย-เดนมาร์ค ถูกศาลสั่งล้มละลาย ทำให้ผู้บริโภคที่มีความผูกพันกับผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์ค ตรา “วัวแดง” เกิดความตระหนกตกใจอย่างมาก ซึ่งความจริงแล้วข่าวดังกล่าวเป็นการนำเรื่องเก่ามาเล่าใหม่ อีกทั้งยังเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้องครบถ้วน
นายนพดล ตันวิเชียร รองผู้อำนวยการ ทำการแทนผู้อำนวยการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ผู้ผลิตนมไทย-เดนมาร์ค ตรา วัวแดง เปิดเผยว่า กรณีที่มีการนำข่าวเรื่องของศาลพิพากษาให้ บริษัท นมไทย-เดนมาร์ค จำกัด ล้มละลายนั้นมาเผยแพร่แชร์กันในโซเชียลมีเดียในช่วงที่ผ่านมานี้ อยากจะชี้แจงเน้นย้ำอีกครั้งว่า ข่าวดังกล่าวเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ วันที่ 10 มีนาคม 2554 ที่ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ประกาศเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เรื่อง คำพิพากษาให้บริษัท นมไทย-เดนมาร์ค จำกัด ล้มละลาย สืบเนื่องจากบริษัท นมไทย-เดนมาร์ค จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างผู้ถือหุ้น ได้แก่ ชุมนุมสหกรณ์ผู้เลี้ยงโคนมแห่งประเทศไทย กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม อ.ส.ค. กลุ่มพนักงาน อ.ส.ค. ธกส. อตก.และบริษัทอินเตอร์เนชั่นแนล โปรดักส์ จำกัด โดยบริษัทจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นตัวแทนจัดจำหน่ายนมไทย-เดนมาร์คให้กับ อ.ส.ค. ในช่วงปี 2537-2539 เท่านั้น
โดยบริษัทดังกล่าวมีผลการดำเนินงานปี 2537 ตามเป้าหมายของสัญญา แต่ปี 2538-2539 บริษัทไทย-เดนมาร์คฯ เริ่มมีปัญหาไม่สามารถชำระหนี้ อ.ส.ค. ได้ตามกำหนด ทำให้ อ.ส.ค. ยกเลิกสัญญาซื้อขายระหว่าง อ.ส.ค. กับบริษัทนมไทย-เดนมาร์คในปี 2539 และได้มีการดำเนินคดีมาสิ้นสุดจนเป็นข่าวดังกล่าว ดังนั้นในปัจจุบันบริษัทนมไทย-เดนมาร์คจำกัดจึงอยู่ในสถานะลูกหนี้ของ อ.ส.ค.เท่านั้น
หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอย่างใดทั้งสิ้นต่อ อ.ส.ค. อีกทั้ง อ.ส.ค.ยังได้ดำเนินการทางการตลาดด้วยตัวเองมาโดยตลอด ที่สำคัญยังมีผลประกอบการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คือมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ประมาณ 10% และมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทั้งในและต่างประเทศ อย่างเช่นในปีที่ผ่านมา มียอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประมาณ 7,100 ล้านบาท ซึ่งเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดประเทศที่ อ.ส.ค.ได้ทำตลาดเชิงรุกมากขึ้นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาทำให้มียอดจำหน่ายโตปีละกว่า 50% เนื่องจากย้อนไปหลัง 3 ปีที่แล้วมียอดขายปีละ 200 ล้านบาท แต่ปัจจุบันสามารถขายได้ปีละกว่า 600 ล้านบาท ฉะนั้น ในปีงบประมาณ 2558 ได้ตั้งเป้าหมายจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นจากปีนี้อย่างน้อย 10% คือประมาณ 7,800 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการจำหน่ายตลาดต่างประเทศประมาณ 800 ล้านบาท ที่เหลือจะเป็นสัดส่วนตลาดในประเทศ
นอกจากนี้ อ.ส.ค. ได้ทำแผนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ จากผลิตภัณฑ์นมสดแท้ 100% พร้อมดื่มที่คุ้นเคยของผู้บริโภคมาอย่างยาวนานแล้ว ในระยะ 2 ปีมานี้ได้ผลิตนมเปรี้ยวเป็นโยเกิร์ตพร้อมดื่มยูเอชทีผสมคอลลาเจน ซึ่งน่าจะเป็นรายเดียวในประเทศไทยที่ใช้นมสดมาผลิตเป็นนมเปรี้ยวผสมคอลลาเจน และขณะนี้ อ.ส.ค. กำลังพัฒนานมสดที่ใช้เลี้ยงเด็ก เป็นนมที่เติมสารอาหารที่จะทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถใช้ผลิตภัณฑ์นี้เลี้ยงเด็กอายุ 1 ขวบขึ้นไปได้ ซึ่งคาดว่าภายในปี 2558 จะได้เห็นผลิตภัณฑ์ตัวใหม่นี้ออกมาวางจำหน่ายอย่างแน่นอน ควบคู่กับการเปิดตัวฟาร์มโคนมออแกนิกส์ ที่อ.ส.ค.ได้พัฒนาด้านนี้มากว่า 6 ปี และได้รับการรับรองมาตรฐานจากกรมปศุสัตว์ ก็น่าจะพัฒนาเป็นธุรกิจอีกด้านของ อ.ส.ค.ในไม่ช้า
นายนพดล กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่กล่าวมาข้างต้นนี้เป็นในส่วนของงานด้านธุรกิจของ อ.ส.ค. ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ถือว่าเป็นรัฐวิสาหกิจขนาดเล็กๆ และมีธุรกิจนมที่ไม่ได้ใหญ่โตมากนัก แต่สามารถทำกำไรในช่วง 5 ปีรวมกันไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท สามารถส่งเงินเข้ารัฐได้ จึงเป็นสิ่งที่แสดงความเจริญก้าวหน้าที่ดีและน่าภูมิใจอย่างมาก แต่อย่างไรก็ดี อ.ส.ค.มีอีกบทบาทหนึ่งคืองานด้านส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเลี้ยงโคนม ซึ่งเป็นอาชีพพระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต้องดูแลเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมให้มีรายได้ที่ดี มีอาชีพที่สามารถหาเลี้ยงตนเองและครอบครัวได้อย่างมั่นคง
อ.ส.ค.ก็มีแผนการพัฒนาด้านนี้หลายเรื่อง โดยเฉพาะพยายามมุ่งเน้นไปในเรื่องของการทำอย่างไรที่เกษตรกรที่เป็นต้นน้ำของกระบวนการผลิตสามารถพัฒนาการเลี้ยงและยกระดับของเขาขึ้นมา ทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการเลี้ยงดูโคนม คุณภาพน้ำนมดิบที่ได้มาตรฐานในระดับสากล ควบคู่กับการลดต้นทุนการผลิต ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับสินค้าเกษตรชนิดอื่นหลายตัวที่ขณะนี้ค่อนข้างมีปัญหา อาชีพการเลี้ยงโคนมจึงน่าจะเป็นอาชีพที่เกษตรกรหลายคนคงกำลังหันกลับมาให้ความสนใจอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเชื่อมั่นว่าถ้าเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม มีการปรับปรุงพัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพก็จะทำให้ยึดเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ที่ดีสร้างความมั่นคงในชีวิตต่อไป
“อยากจะขอให้ทุกคนมั่นใจได้ว่า อ.ส.ค. เป็นรัฐวิสาหกิจ ซึ่งหุ้นทั้งหมดเป็นของรัฐบาล การบริหารงานในช่วงที่ผ่านมามีการเจริญเติบโตก้าวหน้าตลอด มีกำไรทุกปี และเรายังวางทิศทางการเจริญเติบโตปีหนึ่งไม่น้อยกว่า 10% และการเติบโตในตลาดต่างประเทศก็คิดว่าอย่างน้อยที่สุดจะทำให้โตได้ 20% ภายใน 5 ปีข้างหน้า ควบคู่กับการพัฒนาศักยภาพของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม จึงอยากให้เกษตรกรและผู้บริโภคเชื่อมั่นได้เลยว่ากระแสข่าวบริษัท นมไทย-เดนมาร์ค ล้มละลายนั้นเป็นข่าวเก่าและไม่มีผลกระทบต่อ อ.ส.ค.เลยแม้แต่น้อย สุดท้ายนี้ก็ขอให้เกษตรกรเชื่อมั่นในตัว อ.ส.ค. ว่าจะเป็นองค์กรหลักที่จะเข้าไปดูแลเกษตรกรให้มีการพัฒนาและเจริญก้าวหน้าอยู่ในอาชีพพระราชทานนี้” นายนพดล กล่าวย้ำ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี