29 ธ.ค.57 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่สุสานทุ่งมน ได้มีบรรดาลูกศิษญ์ของ พระครูประสาทพรหมคุณ หรือหลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ อดีตเจ้าอาวาสวัดเพชรบุรี ต. ทุ่งมน เกจิอาจารย์ชื่อดังที่มรณภาพไป เมื่อวันที่ 5 มี.ค. 57 เดินทางมาจากทั่วสารทิศ ด้วยรถตู้หลายสิบคัน และรถยนต์ส่วนตัว เพื่อรวมพลังหลังนัดรวมตัวกันผ่านโซเซียลมีเดีย เพื่อตอบโต้การนำสื่อข่าวที่บิดเบือนไปจากความจริง กรณีหนังสือพิมพ์หัวสีได้ลงข่าว พาดหัวหน้า 1 อลวนศึกชิงมรดก 5 พันล้าน "หลวงปู่หงษ์" เกจิดัง เมืองช้าง ระหว่างวัด-กรรมการ กับลูกศิษย์-เครือญาติ แม้ศาลจะชี้ให้วัดเป็นผู้จัดการมรดก แต่อีกฝ่ายยังดื้อแพ่ง ปิดตายกุฎิ กันท่าไม่ให้ตรวจสอบทรัพย์สิน ซ้ำเล่นแง่ขึ้นโรงพักแจ้งจับกันวุ่น แถมยังฟ้องอายัดอีก 49 ล้าน ศาลนัดชี้ขาด 26 ธ.ค.57 ที่ผ่านมา เป็นการนำข้อมูลจากฝั่ง ทนายความและกรรมการวัด ของวัดเพชรบุรี ต.ทุ่งมน อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ ออกมานำเสนอข่าวแต่เพียงฝ่ายเดียว โดยไม่สืบค้นหาความจริง มาตีแผ่ ซักถามคู่ความขัดแย้งด้าน ทนายความฝ่ายทายาท มูลนิธิพรหมปัญโญ และศิษยานุศิษย์ หลวงปู่หงษ์ แม้แต่น้อย จนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันไปทั่วทั้งจังหวัดสุรินทร์ และทั่วประเทศไทย เนื่องจากหลวงปู่หงษ์ เป็นที่นับถือเลื่อมใสของผู้คนทั้งใน และต่างประเทศ และมีผู้ที่มีจิตศรัทธาบริจาคทรัพย์สินและที่ดินให้จำนวนมาก ทำให้มีทรัพย์สินอยู่ในความครอบครองเป็นจำนวนมหาศาล
ว่าที่ ร.ต.ณัฐจากูร ศรีธนกฤตชโยดม อายุ 35 ปี อยู่บ้านเลขที่ 63/68 ม.4 ต.บึงคำพร้อย อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ตัวแทนลูกศิษย์หลวงปู่หงส์ กล่าวว่า กรณีที่มีสื่อหัวสีให้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนไปจากความจริง ทีมทนายจะดำเนินการประสานงานต่อไป แต่ในที่นี้ยังแถลงข่าวไม่ได้ทั้งหมดเพราะจะทำให้เสียรูปคดี คงจะต้องมีการออกมาชี้แจงกับส่วนที่เกี่ยวข้อง ว่าสิ่งที่นำเสนอออกไปนั้นมีความคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เพราะอาจจะไม่ได้ข้อมูลข้อเท็จจริงจากทางฝ่ายศิษยานุศิษย์ หลวงปู่หงษ์
ทั้งนี้ นายคราศี ลอยทอง ทนายความฝ่ายทายาท มูลนิธิพรหมปัญโญ นายสุรศักดิ์ สินประโคน นายก อบต.ทุ่งมน ว่าที่ ร.ต.ณัฐจากูร ศรีธนกฤตชโยดม ตัวแทนลูกศิษย์หลวงปู่หงษ์ นายอุดม หวังทางมี กำนันตำบลทุ่งมน และ นายเสกสรร พรหมนุช หลานชายของหลวงปู่หงษ์ ได้ร่วมกันแถลงข่าว กรณีพิพาทสุสานทุ่งมน ว่า มารผจญหวังฮุบผลประโยชน์สุสานทุ่งมน ข้อเท็จจริงที่จำเป็นต้องเปิดเผย และ นี่คือพาดหัวข่าว และรายละเอียดข่าวที่ยังไม่ครบทุกด้าน....?“ อลวนศึกชิงมรดก 5 พันล้าน "หลวงปู่หงษ์" เกจิดัง เมืองช้าง ระหว่างวัด-กรรมการ กับลูกศิษย์-เครือญาติ แม้ศาลจะชี้ให้วัดเป็นผู้จัดการมรดก แต่อีกฝ่ายยังดื้อแพ่ง ปิดตายกุฎิ กันท่าไม่ให้ตรวจสอบทรัพย์สิน ซ้ำเล่นแง่ขึ้นโรงพักแจ้งจับกันวุ่น แถมยังฟ้องอายัดอีก 49 ล้าน ศาลนัดชี้ขาด 26 ธ.ค.นี้ ชาวสุรินทร์วิจารณ์...”
ครั้งนี้ ไม่ใช่ครั้งแรก ที่ มีคนอยากมีอยากได้ ผลประโยชน์ จากชื่อเสียง ผลประโยชน์ จากทรัพย์สินอันพึงมี ของพระเดชพระคุณเจ้า หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ แห่งสุสานทุ่งมน ใช่ความจริงท่านบวชและจำพรรษา พร้อมทั้งดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดเพชรบุรี ตำบลสมุด อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ หากแต่ท่านเบื่อกับเหล่าบุคคล ภิกษุสงฆ์ ที่มุ่งแสวงหาประโยชน์จากท่าน แทนที่จักนำปัจจัยที่ได้มาจากการถวาย การทำบุญ การรักษาโรคภัยไข้เจ็บ การสะเดาะเคราะห์ การให้เช่าวัตถุมงคล เพื่อนำมาพัฒนาวัดวาอาราม ถาวรวัตถุ ภายในวัด เงินและปัจจัยที่ได้มา เป็นจำนวนมากมาย กลับหายไป ถูกเบียดบังเอาไป จนประมาณปลายปี 2529 ท่านเริ่ม ออกมาพัฒนาสุสานทุ่งมน ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดเพชรบุรี เป็นที่พำนักปฏิบัติธรรม เจริญสติภาวนา และโปรดสัตว์ อยู่ที่นี่ เนื่องจากเหตุดังกล่าว จนปี 2542 ท่านก็มาจำพรรษาอยู่ถาวร โดยไม่กลับวัดเพชรบุรีอีกเลย เรื่องที่บุคคลแสวงหาประโยชน์จากท่านในฐานะที่ท่านเป็นเกจิอาจารย์ชื่อดังของอีสานใต้ เป็นที่เคารพเลื่อมใส ของคนทั้งประเทศ เป็นที่รู้จักทั้งประเทศไทย และต่างชาติ ทางจังหวัดสุรินทร์ โดยอดีตผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ นายเกษมศักดิ์ แสนโภชน์ ท่านเจ้าคณะจังหวัดสุรินทร์ ท่านนายอำเภอปราสาท ท่านเจ้าคณะอำเภอปราสาท ได้มีคำสั่งของจังหวัดแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการ ดูแลทรัพย์สิน ดูแลบริหารจัดการงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งวัดเพชรบุรี สุสานทุ่งมน แยกกันเป็นสัดส่วนตั้งแต่ ประมาณ ปี พ.ศ. 2547 เป็นต้นมา
ตามกระแสที่เป็นข่าวว่า เป็นศึกชิงมรดกหลวงปู่มูลค่า ถึง๕พันกว่าล้าน นั้นไม่เป็นความจริง เงินทองที่มีอยู่ในนามสุสาน ที่จะก่อสร้าง ที่จักสานฝันหลวงปู่ในการสร้างฆฏิกามหาพรหม ไม่ได้มีมากมายขนาดนั้น มีเท่าที่ปรากฏอยู่ในบัญชีเงินฝาก และวัตถุมงคลส่วนหนึ่งที่ยังส่งมอบผู้ร่วมทำบุญไม่หมดเท่านั้น เพราะที่ดินที่หลวงปู่ซื้อมาส่วนใหญ่แล้ว ก็ซื้อเพื่อถวายเป็นการกุศล เพื่อทำเป็นป่าสาธารณะ ซึ่งไม่สามารถตีเป็นมูลค่าได้ เพราะความจริงแล้วก็เป็นป่าอยู่แต่เดิม หากต่อมา พี่น้องประชาชน ได้บุกรุกแพ้วถางทำประโยชน์ หลวงปู่เห็นว่าป่าจะหมดไป จึงซื้อรวบรวมไว้ และรักษาเอาไว้ได้หลายพันไร่ เรื่องนี้ จึงไม่เป็นไปตามที่สื่อมวลชนเสนอข่าว เรื่องการฟ้องขับไล่กรรมการสุสาน ขับไล่นายสุรศักดิ์ สินประโคน นายกองค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งมน ที่เป็นคนเก่าแก่ บริหารทุ่งมนมา 5 สมัยและรู้ปัญหาของวัดของหลวงปู่ดีอีกผู้หนึ่ง เป็นประธานคณะกรรมการจัดงานศพหลวงปู่ที่นางสลิ่ม ธนาชีวิต บุตรตรีบุญธรรมผู้ที่หลวงปู่แต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการงานศพ กับฟ้องนายกิตติศักดิ์ คันธกุลดุษฎี บุคคลที่หลวงปู่แต่งตั้งให้เป็น ผู้ดูแลสุสาน ดูแลเรื่องวัตถุมงคล ก็เป็นเรื่องที่ไม่ชอบเพราะสุสานอยู่ในความดูแลขององค์การบริหารส่วนตำบล เป็นที่สาธารณะ หาใช่ของวัดเพชรบุรีไม่ จึงชอบที่คนเหล่านี้ จักต้องปกป้องสิทธิของตน และปกป้องสุสาน ทรัพย์สินของสุสาน ตามปณิธานหลวงปู่ เพื่อสร้างกิจกรรมหารายได้สร้างฆฏิกามหาพรหมต่อไป ฝ่ายวัดเพชรบุรี กรรมการวัดเพชรบุรี เคยได้รับความไว้วางใจอะไรจากหลวงปู่ เพราะอะไรที่หลวงปู่หนีออกมา ทุกคนก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจ ก่อนหลวงปู่มรณภาพ คนเหล่านี้ เคยช่วยหรือได้รับมอบหมายอะไรจากหลวงปู่ สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่สังคมศิษยานุศิษย์ทั่วไปควรรับรู้ไว้
ทางสุสาน ไม่เคยคิดที่จะอยากได้ ทรัพย์สมบัติหลวงปู่ ตามที่พาดหัวข่าว หากทุกคนต่างถือบัญชี และรักษาทรัพย์สินของทางสุสาน เพื่อสร้างสถานปฏิบัติธรรม สร้างฆฏิกามหาพรหม สร้างสิ่งก่อสร้าง ตามเจตนารมณ์ของหลวงปู่ เงินและทรัพย์สินที่ทางสุสานรักษาไว้ ตามเจตนาของหลวงปู่ เพื่อสร้างสิ่งก่อสร้างตามเจตนาของหลวงปู่ ตามเจตนาของทุกคน เป็นเงินทางสุสาน ได้จัดหามา เพื่อการดังกล่าว ไม่ได้เพื่อวัดเพชรบุรี และไม่ได้มีมากมายตามที่เป็นข่าว ศิษยานุศิษย์ที่เคารพศรัทธาเลื่อมใสหลวงปู่ ร่วมทำบุญกับหลวงปู่ จึงมีหน้าที่ที่จักต้องร่วมกันปกป้อง เพื่อนำทรัพย์สินที่มีมาสานปณิธานสร้างฝันให้หลวงปู่ สืบไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี