คุก5ปี‘สุดาทิพย์’
อ้างเบื้องสูงขาย‘น้ำพริก’
สารภาพลดเหลือ2ปี6เดือน
แฉหลานบิ๊กกิ๊กวิ่งคดียาบ้า
เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ เวลา 09.00 น.ศาลอาญา รัชดาภิเษก ศาลได้สอบคำให้การคดีหมิ่นเบื้องสูง หมายเลขคดีดำ อ.100/2558 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นางสุดาทิพย์ ม่วงนวล อายุ 49 ปี เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
คดีนี้โจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2558 สรุปความผิดจำเลยว่า ระหว่างปี 2545 ถึง 23 พฤศจิกายน 2557 ต่อเนื่องกันตลอดมา จำเลยซึ่งเป็นพี่สาวของพระญาติ ได้อาศัยความเป็นพระญาติ จัดหาอาหารจำพวกน้ำพริก พร้อมเครื่องเคียงนำส่งกองกิจการในพระองค์ เพื่อพระราชทานเลี้ยงแก่ข้าราชบริพาร และจำเลยยังเป็นผู้กำหนดเมนูอาหารในลักษณะผูกขาดเองเสมอ โดยไม่ผ่านการประมูลตามขั้นตอนหลักเกณฑ์ตามปกติ อีกทั้งการใช้ถ้อยคำพูดแอบอ้างของจำเลยยังเป็นการจาบจ้วง แอบอ้างเบื้องสูง หมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ ล่วงเกิน ใส่ร้าย ใส่ความทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศ อันเป็นการหมิ่น ดูหมิ่น องค์รัชทายาท เหตุเกิดที่แขวงวชิรพยาบาล เขตดุสิต กทม.
ภายหลังจากที่อัยการส่งฟ้อง ศาลได้นัดสอบคำให้การจำเลยเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2558 แต่จำเลยให้การปฏิเสธต่อสู้คดี ต่อมาเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2558 จำเลยขอกลับคำให้การใหม่ โดยยื่นเอกสารเป็นลายลักษณ์อักษรให้การรับสารภาพโดยดี ศาลจึงเบิกตัวจำเลยเพื่อมาสอบถามความจริงจากตัวจำเลยเอง
โดยเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้ควบคุมตัวนางสุดาทิพย์ซึ่งสวมชุดนักโทษสีส้มมาจากทัณฑสถานหญิงกลาง เข้ามาที่ห้องเวรชี้ ต่อมาศาลได้สอบถามจำเลยอีกครั้งว่าจะยอมรับหรือปฏิเสธหรือไม่ ปรากฏว่าจำเลยยืนยันรับสารภาพตามเดิม ไม่ต่อสู้คดี
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยกระทำผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จริง พิพากษาจำคุก 5 ปี แต่คำรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยไว้ 2 ปี 6 เดือน โดยไม่รอลงอาญา
วันเดียวกันเวลา 11.00 ย.กองปราบปราม นายบรรเทิง เนมีแสน อายุ 73 ปี เข้าพบ พ.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี รักษาการ ผบก.ป.เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับ นายเอกชัย หรือเอฟ พลอยหิน ในข้อหาฉ้อโกงและหมิ่นเบื้องสูง
นายบรรเทิง ให้การว่า เมื่อปี 2551 นายไพฑูรย์ เนมีแสน ลูกชายของตนได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางแพ จ.ราชบุรี จับกุมยาบ้าจำนวน 2 แสนเม็ด ด้วยความเป็นพ่อจึงอยากช่วยเหลือบุตรชาย จากนั้นมีทหารคนหนึ่งมาแนะนำว่านายเอกชน สามารถช่วยเหลือได้เพราะเขารู้จักกับผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองให้ช่วยวิ่งเต้นคดีได้
ต่อมาตนก็ติดต่อกับนายเอกชัย โดยเจ้าตัวบอกว่าต้องจ่ายเงินจำนวน 1.3 ล้านบาท เป็นค่าดำเนินการ จากนั้นตนก็ได้ไปกู้ยืมเงินมา แล้วนัดจ่ายเงินกันที่โรงแรมโกลเด้นท์ซิตี้ จ.ราชบุรี โดยให้ลูกสาวเอาไปมอบให้ กระทั่งผ่านไปนานลูกชายก็ถูกดำเนินคดีไปตามกฏหมาย ตนจึงทวงถามความคืบหน้าทางคดี แต่เขากลับบ่ายเบี่ยงและข่มขู่
ด้าน พ.ต.อ.อัคราเดช กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ ผู้เสียหายไม่กล้าแจ้งความเอาผิด เนื่องจากเกรงกลัวอำนาจและบารมีของ นายเอกชัย ต่อมาเมื่อทราบข่าวว่าครอบครัวตระกูลสุวะดี ถูกตำรวจจับกุมจากการกระทำความผิดในหลายคดี จึงตัดสินใจเดินทางเข้าแจ้งความในครั้งนี้
ทั้งนี้เมื่อปี 2557 นายเอกชัย เคยเป็นคนกลางรับเงินวิ่งเต้นเพื่อปิดบ่อนนัมเบอร์วัน ย่านเหม่งจ๋าย แต่ถูกเจ้าหน้าที่ทหารกับตำรวจเข้าทลายเสียก่อน อย่างไรก็ตามทราบว่าเจ้าตัวเป็นหลานของ “บิ๊กกิ๊ก” พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก.และ เป็นญาติ ท่านผู้หญิงบุษบา สุวะดี ซึ่งมักจะนำชื่อสองท่านไปหลอกลวงและข่มขู่ผู้เสียหาย
วันเดียวกันด้านพ.ต.อ.ชัยยุทธ ถมยา ผกก.สภ.เมืองสมุทรสาคร เผยว่าได้ส่งพนักงานสอบสวนเอาหมายจับคดีหมิ่นสถาบัน ไปอายัดตัวณัฐพล สุวะดี ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครที่โดนอยู่หลายคดี สุดถูกออกหมายร่วมกับนายชัยยา กาญจนรัตนพงศ์ ชาวสมุทรสาคร โดยผู้ต้องหาทั้งสองมีความผิดฐานร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร รัชทายาท โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมนายชัยยาได้เมื่อวันที่ 30 ม.ค.ที่ผ่านมา
สำหรับความผิดของนายณัฐพล แอบอ้างเบื้องสูงขู่ผู้ชุมนุมไม่ให้ต่อต้านการนำเข้าถ่ายหิน และแสวงหาประโยชน์จากผลประโบชน์ในการนำเข้าถ่ายหิน
สำหรับนายณัฐพล ยังมีคดีอยู่ระหว่างการดำเนินการทางกฎหมายอยู่ในอีก 3 พื้นที่ คือ สน.พระโขนง ข้อหาแอบอ้างเบื้องสูงและข่มขู่ สน.วัดพระยาไกร ข้อกล่าวหาแอบอ้างเบื้องสูงและข่มขู่ สน.ลาดพร้าวข้อกล่าวหาแอบอ้างเบื้องสูง เข้าศึกษาในสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า).
ส่วนที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล น.ส.พิมพ์พิศา สุนทรพิพิธ อายุ 38 ปี ภรรยาของนายชากานต์ ภาคภูมิ ผู้ต้องหาคดีแอบอ้างเบื้องสูง(มาตรา 112) และมีอาวุธปืนสงครามไว้ในครอบครอง เข้ามอบตัวปฎิเสธข้อหา ร่วมกันมีอาวุธสงคราม เครื่องกระสุนไว้ในครอบครอง และฝ่าฝืนประกาศของคสช. ฉบับที่ 50/2557 และ 59/2557 จากกรณีที่นาย พล.ต.ต.ก่อเกียรติ กล่าวว่า จากกรณีที่นายชากานต์ได้มีส่วนพัวพันกับคดีแก๊งอุ้มลดหนี้ และแอบอ้างเบื้องสูงเพื่อทำธุรกิจส่วนตัวนั้น เมื่อวันที่ 28 พ.ย. 57 ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจสน.คันนายาวได้เข้าตรวจค้นบ้านพักเลขที่ 57/22 ม.5 แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กทม. ของนายชากานต์ พบอาวุธสงครามและเครื่องกระสุนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ ซุกซ่อนไว้ในบ้าน จึงได้แจ้งข้อหาเพิ่มเติมว่า มีร่วมกันมีอาวุธปืน และพาอาวุธปืนไปในเมือง โดยไม่ได้รับอนุญาต
จากการสอบสวนเบื้องต้น น.ส.พิมพ์พิศาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหาและได้กล่าวอีกว่าตนไม่มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับคดี112ซึ่งนายชากานต์(สามี)ได้ถูกดำเนินคดีไปแล้ว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี