จลาจลเผาคุก‘สงขลา’
ตาย1เจ็บ10
นักโทษนับร้อยฮือป่วน
ฉุนสภาพแออัด-จัดระเบียบเข้ม
แม่ทัพ4-อธิบดีรุดเจรจาหย่าศึก
ราชทัณฑ์เต้นสั่งสอบข้อเท็จจริง
ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 8 มิถุนายน ได้เกิดเหตุนักโทษชายในเรือนจำกลางจังหวัดสงขลา ต.เขารูปช้าง อ.เมือง จ.สงขลา ประมาณ 100 คน ก่อการจลาจลจุดไฟเผาเรือนนอน โรงอาหาร ทำลายทรัพย์ทางราชการและได้ใช้ก้อนอิฐขว้างปาเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ที่เข้าไประงับเหตุ ได้รับบาดเจ็บจำนวนหนึ่ง โดยอ้างความไม่พอใจและต้องการเรียกร้องให้มีการแก้ไขสภาพความเป็นอยู่ในเรือนนอนที่อยู่อย่างแออัด รวมถึงเรื่องอาหารที่ไม่เพียงพอ
สำหรับนักโทษที่อยู่ในเรือนจำจังหวัดสงขลา ทั้งหมด 2,500 คน แยกเป็นนักโทษเด็ดขาด 1,000 คนและอยู่ระหว่างรอดำเนินคดี 1,500 คน
เบื้องต้น พบว่า เหตุจลาจลที่เกิดขึ้นนอกเหนือจากปัญหาสภาพความแออัด แล้วยังมีสาเหตุมาจากนักโทษบางกลุ่มไม่พอใจมาตรการการจัดระเบียบภายในเรือนจำ อาทิ การห้ามไม่ให้ใช้ถุงพลาสติก เพื่อไม่ให้นักโทษเอาไปเก็บของต้องห้าม เช่น โทรศัพท์ ยาเสพติด มาซุกซ่อน ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของอธิบดีกรมราชทัณฑ์ในการแก้ปัญหายาเสพติดในเรือนจำ ทำให้นักโทษบางคนไม่พอใจและรวมตัวก่อเหตุจลาจลขึ้น
ทั้งนี้ทางเรือนจำได้วิทยุขอกำลังทหาร ตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) และฝ่ายปกครองประมาณ 130 คน เข้าปิดล้อมกำแพงเรือนจำภายนอก เพื่อป้องกันนักโทษหลบหนี เนื่องจากภายในเกิดความชุลมุนจนผู้คุมไม่สามารถควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้ โดยเจ้าหน้าที่ได้ใช้เครื่องขยายเสียงประกาศให้นักโทษยุติและจำนนเป็นระยะ
ขณะที่บรรยากาศภายในเรือนจำ เต็มไปด้วยความวุ่นวาย โดยตลอดทั้งวันที่การเผาที่นอน และมีควันไฟออกมา รวมทั้งมีเสียงปืนดังขึ้นเป็นระยะ มีรถพยาบาลรถกู้ภัยลำเลียงผู้รับบาดเจ็บออกมา และต้องปิดประตูเข้าออกหน้าเรือนจำไม่ให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปภายในโดยเด็ดขาด
ต่อมาในช่วงบ่าย พล.ท.ปราการ ชลยุทธ แม่ทัพภาคที่ 4 พร้อม นายภานุ อุทัยรัตน์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) นายเรืองศักดิ์ สุวารี รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ นายพิรัชย์พนธ์ วงศ์เวช ผู้บัญชาการเรือนจำกลางจังหวัดสงขลา และคณะ ได้ร่วมกันคลี่คลายสถานการณ์ฑ โดยเดินทางเข้าไปเจรจาต่อรองกับ 4 แกนนำผู้ต้องขังในเรือนจำ
ทั้งนี้ในการพูดคุยเจรจาใช้เวลานานพอสมควร ก่อนได้ข้อสรุปว่า ทางผู้ต้องขังยื่นเรียกร้อง 5 ข้อ โดยขอให้ย้ายผู้บัญชาการเรือนจำกลางจังหวัดสงขลา และอย่าให้เจ้าหน้าที่คุมเรือนจำจำนวน 4 คนเข้าไปในเรือนนอนผู้ต้องขัง และแก้ไขเรื่องสวัสดิการ รวมทั้งของให้อธิบดีกรมราชทัณฑ์เป็นผู้มารับเรื่องด้วยตัวเอง ซึ่ง พล.ท.ปราการ และ นายเรืองศักดิ์ รับปากจะนำไปประสานให้ ทำให้สถานการณ์เริ่มคลี่คลายกลับมาสู่ความสงบ
ต่อมาในช่วงเย็น นายวิทยา สุริยวงศ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ได้เดินทางยังเรือนจำจังหวัดสงขลา เพื่อรับทราบสถานการณ์และประชุมกับเจ้าหน้าที่เรือนจำ พร้อมกับรับข้อเสนอของผู้ต้องขัง จนเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมสถานการณ์จนกลับเข้าสู่ภาวะปกติ และควบคุมนักโทษที่ก่อเหตุจลาจลทั้งหมดกลับเข้าเรือนนอน และส่งเจ้าหน้าประมาณ 50 นาย เข้าเคลียร์พื้นที่เกิดเหตุ พร้อมถอนกำลังเจ้าหน้าที่ทั้งตำรวจ ทหาร กว่า 300 นาย ที่คุมสถานการณ์กลับทั้งหมด
โดย นายวิทยา ได้แถลงสรุปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดทั้งวันว่า เหตุจลาจลที่เกิดขึ้นมีนักโทษเสียชีวิต 1 คน คือ นักโทษชายชัยวุฒิ แซ่เฮ็ง ถูกกระสุนยางเข้าที่ใบหน้า มีนักโทษ บาดเจ็บเล็กน้อย 7 คน และมีเจ้าหน้าที่เรือนจำ บาดเจ็บ 3 คน โดยในส่วนนักโทษที่เสียชีวิตจะมีการประสานญาติเพื่อชี้แจงทำความเข้าใจถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งจะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนในวันที่ 9 มิถุนายน ทางเรือนจำ จะเปิดให้ญาติเข้าเยี่ยมผู้ต้องขังได้ตามปกติ
สำหรับข้อเรียกร้องของนักโทษเให้ปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ของนักโทษนั้น นายวิทยา ระบุว่า ความเป็นจริงแล้ว นักโทษ ไม่มีสิทธิ์ที่จะยื่นข้อเรียกร้องใดๆได้ เนื่องจากกฎระเบียบทั้งหมดเป็นมาตรการป้องกันไม่ให้มีการลักลอบนำสิ่งผิดกฏหมายเข้าไปภายในเรือนจำ จึงต้องเข้มงวดนักโทษ อาจจะไม่ได้รับความสะดวก แต่ในส่วนของเรื่องการปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ของนักโทษนั้น เจ้าหน้าที่จะดูถึงความเหมาะสมว่าจะสามารถดำเนินการได้หรือไม่
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี