15 ส.ค. 58 จากกรณีโลกสังคมออนไลน์ได้มีการแชร์ภาพพระสงฆ์กราบแม่ เนื่องในวันแม่แห่งชาติที่ผ่านมา จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงประพฤติของพระรูปดังกล่าวว่ามีเหมาะสมและเข้าข่ายอาบัติหรือไม่
ต่อมา นายสมชาย สุรชาตรี โฆษกสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ชี้แจงว่า พระไม่สามารถกราบผู้เป็นแม่ได้ มิเช่นนั้นจะถือว่าอาบัติทุกกรณี และตามพระธรรมวินัย เพศบรรพชิต หรือเพศนักบวช ละซึ่งกิเลสแล้ว จึงอยู่เหนือกว่าเพศคฤหัสถ์ที่ยังครองเรือนและเต็มไปด้วยกิเลส แม้ว่าเพศคฤหัสถ์จะเป็นบิดามารดาก็ตาม
ล่าสุด พระพุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม โพสต์เฟซบุ๊ก "หลวงปู่พุทธะอิสระ" แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นพระกราบแม่ ข้อความว่า...
เรื่องพระกราบแม่กลายเป็นดราม่าของสังคมไทย
14 สิงหาคม 2558
นับว่าเป็นสิ่งดี อย่างน้อยก็เป็นการกระตุ้นกระบวนการตื่นรู้ตามวิถีแห่งพุทธบริษัทที่ดี
การวิพากษ์วิจารณ์ต่อเหตุการณ์ของสังคมบ้านเมืองเช่นนี้มิใช่พึ่งเคยมี มิใช่เป็นของใหม่
แม้ในอดีตสมัยครั้งพุทธกาลก็เคยมีมาแล้ว
ดังตัวอย่างเช่นภิกษุบิณฑบาตแล้วนำอาหารมาเลี้ยงดูพ่อแม่ก็กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันทั้งหมู่สงฆ์และหมู่ฆราวาส
แล้วมีผู้นำเรื่องนี้ไปสอบถามองค์พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระพุทธองค์จึงทรงชี้ว่าเป็นสิ่งที่เหมาะสมถูกต้องอันบุตรที่ดีพึงสมควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง
ครั้งกระนี้ก็เช่นกัน แม้ปัญหาจะดูเหมือนเดิม หรือดูแล้วมิได้แตกต่างจากเหตุการณ์เดิมๆ มากนัก
แต่กลับกลายเป็นที่โจทก์จัณฑ์กันทั่วทั้งสังคม
ซึ่งผู้โจทก์จัณฑ์วิพากษ์วิจารณ์มีทั้งเจตนาดี วิพากษ์วิจารณ์เพราะอยากรู้ กับเจตนาร้ายวิพากษ์เพราะต้องการตำหนิติโทษ
ถึงกระนั้นก็ทำให้ผู้ใฝ่รู้ ผู้สนใจ ขวนขวายที่จะค้นหาคำตอบว่าจริงๆ แล้ว พระกราบพ่อแม่ได้หรือไม่
หากมีผู้ถามฉัน ฉันก็จะตอบแบบไม่เสียเวลาคิดว่า
"พระกราบพ่อแม่ไม่ได้"
หากมีผู้วิพากษ์ว่า อ่าว แล้วมันจะยังไงกันล่ะ ก็เห็นท่าน เห็นคุณพากันกราบพ่อแม่กันเป็นแถวทั้งที่โกนหัวห่มเหลือง เช่นนี้จะไม่ผิดหรือ
ฉันก็จะตอบว่า "ไม่ผิด"
ผู้วิพากษ์ "เออ เอ่อ เอ้อ เอ๊อ เอ๋อ งงแล้วนะครับพี่"
ไม่ต้องงงจ๊ะน้อง
คำอธิบายก็คือ
ผู้ที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนาจะด้วยศรัทธาหรือไม่ศรัทธา หรือบวชเพื่อประกอบอาชีพ
หากผู้บวชด้วยศรัทธา ก่อนบวชหรือหลังบวชได้บรรลุธรรม เป็นพระอริยบุคคลทั้ง ๔ คู่ ๘ พวก คือ
พระโสดาปฏิมรรค หรือ พระโสดาปฏิผล
พระสกทาคามิมรรค หรือ พระสกทาคามิผล
พระอนาคามีมรรค หรือ พระอนาคามีผล
พระอรหัตมรรค หรือ พระอรหัตผล
พระเหล่านี้ไหว้พ่อแม่ไม่ได้ ไหว้แล้วพ่อแม่จะเป็นบาป
เว้นเสียแต่ว่าพ่อและแม่จะเป็นพระอริยบุคคลขั้นใดขั้นหนึ่งที่มีคุณธรรมเทียบเท่ากับตนหรือสูงกว่า
เช่นนี้พระรูปนั้นพึงไหว้ได้
การที่พระอริยบุคคลไหว้พ่อแม่ที่เป็นพระอริยบุคคลที่มีศักดิ์เสมอกันด้วยเพราะไหว้คุณธรรมที่ได้ให้ชีวิตเลี้ยงดูมา
แต่ถ้าผู้ที่บวชเข้ามา บวชด้วยศรัทธาและยังไม่ได้บรรลุธรรมใดๆ ทำได้แค่เพียรพยายาม ทำความเพียรทางจิต รักษาศีลให้ตั้งมั่นบริสุทธิ์ ก็กราบไปเถิด
ด้วยเพราะพ่อแม่มีคุณธรรมมากกว่า พระพุทธเจ้าทรงเทียบชั้นเอาไว้ว่า พ่อแม่เป็นดังพระพรหมของบุตร หรือเป็นดั่งพระอรหันต์ของลูก (ในพระสูตรไม่พบที่เปรียบพ่อแม่เป็นดังพระอรหันต์)
อีกทั้งยังมีที่มาในหลายพระสูตร ว่าผู้ที่รักษาศีลบริสุทธิ์และไม่มีคุณธรรมอื่นใด ตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดาเท่านั้น
ทีนี้ลองมาดูพวกที่บวชเป็นอาชีพ ทำอาชีพเลี้ยงชีวิตด้วยการบวช ไม่ค่อยจะมีคุณธรรมใดๆ เรื่องศีลนี่ยิ่งไม่ต้องถามไถ่
จะหลงเหลือซักกี่ข้ออันนี้ก็ไม่ค่อยจะแน่ใจ
แต่ที่แน่ๆ ก็คือมีสถานะแค่ลูกชาวบ้าน โกนหัวห่มเหลืองเท่านั้น เช่นนี้ก็คิดเอากันเองแล้วกันว่าควรจะกราบพ่อแม่ได้หรือไม่
อีกทั้งผู้ที่บวชเข้ามาหากยังไม่บรรลุธรรมใดๆ ก็มีราคาแค่สมมุติสงฆ์เท่านั้น ไม่ใช่สงฆ์ตัวจริง
นอกจากนี้เราต้องเข้าใจถึงสถานภาพลำดับชั้นของผู้ที่บวชเข้ามาในพระธรรมวินัยนี้ก่อนว่า
นอกจากพระผู้มีพระภาคเจ้าจักทรงจัดลำดับชั้นของบุคคลตามคุณธรรมแล้ว ยังไม่เคยเรียกขานผู้ที่บวชเข้ามาแล้วไม่บรรลุธรรมใดๆ เลยว่าเป็นพระ
มีแต่ทรงเรียก ภิกษุ นักบวช สมณะ และพระ ตามแต่ชั้นของคุณธรรม
ทีนี้เราก็มาดูกันว่าคำว่า
ภิกษุเขาแปลว่า ผู้เห็นภัยในวัฏฏะหรือผู้ขอ
นักบวช แปลว่า ผู้ละวางปล่อยเว้นความชั่วทางกาย วาจา และใจ
สมณะ แปลว่า ผู้สงบกาย สงบวาจา และสงบใจ
พระ แปลว่า ผู้ประเสริฐดีเลิศและงามพร้อม
พระอริยเจ้า แปลว่า ผู้ประเสริฐยิ่งกว่า
ท่านทั้งหลายจะเห็นได้ว่าพระธรรมวินัยนี้ท่านจัดคุณลักษณะของบุคคลด้วยคุณศีล คุณธรรม
มิใช่สถานภาพ อายุขัย หรือคำยกย่อง
ตอนนี้คงต้องหันไปถามพวกที่ค้านการกราบไหว้พ่อแม่ว่า
มีคุณลักษณะ คุณศีล คุณธรรม อยู่ในระดับใด
หรือแค่มีสถานภาพ คำยกย่อง และยี่ห้อเท่านั้น
สำหรับฉันนั้น พวกคุณทั้งหลายก็ไม่ต้องมาสนใจมากนักหรอก เพราะฉันเคยบอกมานานเนกาเลแล้วว่า ฉันไม่ใช่พระ
อย่างดีก็เป็นได้แค่ ภิกษุ นักบวช หรือสมณะเท่านั้น ในหัวสมองฉันไม่เคยคิดที่จะเทียบชั้นกับคำว่าพระเลย ซ้ำยังได้เคยตำหนิแก่พวกนักข่าวบ่อยๆ ว่า อย่าไปเขียนข่าวว่าพระชั่ว ควรเขียนว่าภิกษุชั่ว หรือนักบวชชั่ว
ส่วนสมณะหรือพระนั้นชั่วไม่ได้แล้วโดยคุณนาม
สำหรับฉันนั้น โคตรเหง้าบรรพบุรุษได้สั่งสอนอบรมมาแต่เล็กแต่น้อยว่าต้องกราบไหว้พ่อแม่ทุกวันคืน
หากจะให้เลิกกราบ เลิกไหว้ ก็เอาตัวฉันไปตัดหัวเสียจะง่ายกว่า
หากการกราบไหว้พ่อแม่ของฉันไปทำให้ใครๆ เดือดร้อนก็ต้องขออภัยด้วย
ขอเตือนด้วยความหวังดีว่าสีลัพพตปรามาส คือการอวดดื้อถือดีในศีลพรตของตนเองกันหน่อยนะจ๊ะ อ้อ แล้วอย่าบอกอีกนะว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้สอน
สำหรับฉันแล้วอย่าว่าแต่พ่อแม่เลย ใครก็ได้ที่มีคุณธรรมสูงส่งยิ่งกว่าฉัน ฉันก็กราบก็ไหว้ได้ทั้งนั้น ดีกว่าอยู่เปล่าๆ
ด้วยเพราะฉันเชื่อว่า
ปูชา จะ ปูชะนียานัง การบูชาบุคคลที่ควรบูชา
เอตัมมังคะละมุตตะมัง ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด
เหล่านี้แหละคือเหตุที่ฉันยังไม่ได้เป็นพระ
พุทธะอิสระ
ขณะที่ชาวเน็ตหลายคนมองว่า การที่พระกราบไหว้บิดามารดานั้นไม่น่าจะถือว่าเป็นการอาบัติ และพระที่สมควรอาบัติมากกว่า คือบรรดาพระที่หากินจากศรัทธาพุทธศาสนิกชน
เรื่องพระกราบแม่กลายเป็นดราม่าของสังคมไทย๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๘ นับว่าเป็นสิ่งดี อย่างน้อยก็เป็นการกระตุ้นกระบวนการตื่นรู้ตา...
Posted by หลวงปู่พุทธะอิสระ (Buddha Isara) on 14 สิงหาคม 2015
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี