17 ส.ค.58 ที่ห้องพิจารณา 809 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีฆ่าเหยื่อไบโอคลินิก หมายเลขดำ อ.4514/2550 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 9 โจทก์ และนายเจตษฎา วิวัฒนานุกูล บุตรชาย นางระวีวรรณ เสตะรัต โจทก์ร่วม ยื่นฟ้อง นายจตุรงค์ หรือตึ๋ง เบญกุล อายุ 29 ปี ชาว จ.ชลบุรี และนายประกอบ สีนาค อายุ 36 ปี ชาว จ.อุทัยธานี เป็นจำเลย ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ
คดีนี้โจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 13 ก.ย.2550 เวลาประมาณ 20.30 น.จำเลยทั้งสองกับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ได้ร่วมกันใช้อาวุธปืนขนาด 6.35 ม.ม.ไม่มีทะเบียน ยิงนางระวีวรรณ เสตะรัต หรือนางอภัสนันท์ ธิติโชติชัยปรีชา ผู้เสียหายจากการทำศัลยกรรมสถาบันเสริมความงาม ไบโอคลินิก ย่านดอนเมือง ถึงแก่ความตาย บริเวณหน้าบ้านพักเลขที่ 295 หมู่บ้านฉัตรแก้ว ซ.11 ถ.แฮปปี้แลนด์ แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กทม.แล้วขับ จยย.หลบหนีไป ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ลาดพร้าว และเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปรามติดตามจับกุมจำเลยทั้งสองได้พร้อมอาวุธปืน และรถ จยย.ของกลาง จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน แต่ให้การปฏิเสธชั้นพิจารณา
คดีนี้ศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 19 ม.ค.2553 ให้ยกฟ้องจำเลยทั้งสอง เนื่องจากเห็นว่าโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอจะรับฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้ แต่ให้ขังไว้ระหว่างอุทธรณ์ ต่อมาโจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์ ขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองด้วย
ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 ส.ค.50 เห็นว่าฝ่ายโจทก์มีประจักษ์พยานยืนยันเห็นจำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย ซึ่งยังใช้มือปัดมือของผู้ตายเพื่อยิงให้ถูกอวัยวะสำคัญ ซึ่งระยะห่างเพียง 1 เมตร ทั้งประจักษ์พยานยืนห่าง 7 เมตร ได้ตะโกนด่า และใช้โทรศัพท์มือถือปาไปที่จำเลยที่ 1 ขณะเกิดเหตุมีแสงไฟภายในบ้านและแสงไฟสาธารณะบริเวณหน้าบ้าน จึงมองเห็นใบหน้าจำเลยที่ 1 ได้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังพยานโจทก์ยังบอกให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสเกตช์ภาพคนร้ายได้อย่างถูกต้องและเมื่อจำเลยที่ 1 ถูกจับกุมก็รับสารภาพต่อหน้าสื่อมวลชนและผู้คนจำนวนมาก พร้อมทั้งนำชี้ที่เกิดเหตุและไม่ได้ปฏิเสธเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พยานโจทก์จึงมีน้ำหนักมั่นคง เชื่อว่าจำเลยกระทำผิดจริง อุทธรณ์โจทก์ฟังขึ้น ส่วนจำเลยที่ 2 คนขี่ จยย.จำเลยที่ 1 หลบหนี โจทก์และโจทก์ร่วมไม่มีประจักษ์พยานมาเบิกความว่ารู้เห็น จำเลยที่ 2 ร่วม กระทำผิดหรือไม่ ลำพังพยานหลักฐานโจทก์ที่มาเบิกความยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอ ที่จะลงโทษจำเลยที่ 2 ได้
พิพากษาแก้ให้จำคุกจำเลยที่ 1 ฐานฆ่าผู้อื่นฯ ไว้ตลอดชีวิต ส่วนจำเลยที่ 2 ให้ยกฟ้อง จำเลยที่ 1 ฎีกา ขอให้ศาลยกฟ้อง ส่วนอัยการโจทก์ และโจทก์ร่วม ยื่นฎีกาขอให้ลงโทษจำเลย ที่ 2 ด้วย
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว แม้โจทก์ มีนายเจษฎา บุตรชายของผู้ตายเบิกความว่า วันเกิดเหตุ เมื่อโจทก์ร่วมและมารดา ขับรถมาถึงหน้าบ้าน โจทก์ร่วมและพี่สาวก็ช่วยกันขนของเข้าบ้าน ส่วน ผู้ตาย ได้ขับรถไปจอดข้างบ้าน ระหว่างนั้นได้ยินเสียงปืนประมาณ 4-5 นัด และเสียงมารดาร้อง เมื่อโจทก์ร่วม ออกมาหน้าบ้านเห็นจำเลยที่ 1 เล็งปืนมาที่มารดา และใช้อีกมือ ปัดมือของมารดาเพื่อจะได้ยิงถนัด โจทก์ร่วมจึงขว้างโทรศัพท์มือถือใส่จำเลยที่ 1 แล้วจึงหลบหนีไป โดยโจทก์ร่วม ยืนห่าง 7 เมตร และมีแสงสว่างเพียงพอจากไฟในบ้านและไฟรั้วบ้านที่มองเห็นจำเลยที่ 1 ได้ซึ่งวันเกิดเหตุเห็นใส่เสื้อยืดสีเขียว และกางเกงยีนส์ขายาว สูงประมาณ 170 ซม.สีผิวค่อนข้างคล้ำ แต่ชั้นสอบสวนเจ้าหน้าที่ตำรวจ โจทก์ร่วมกลับไม่ได้ระบุ รูปพรรณสัณฐานของคนร้ายให้ชัดเจนตั้งแต่แรก ทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นคำให้การของโจทก์ร่วม จึงขาดความเชื่อมโยง
ส่วนพยานที่อยู่บริเวณใกล้เคียงบ้านผู้ตาย เบิกความ ขณะเกิดเหตุซักผ้าอยู่ที่หน้าบ้าน ได้ยินเสียงผู้หญิงร้อง จากนั้นก็เห็นชายใส่เสื้อยืดสีเขียว กางเกงยีนส์ขายาว แต่เมื่อจะให้ชี้ตัวพยาน ก็ไม่แน่ใจว่าจะใช่คนเดียวกับจำเลยที่ 1 หรือไม่ เช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ ที่เบิกความว่า ขณะตรวจตราที่บริเวณป้อม รปภ.หมู่บ้าน ช่วงใกล้เคียงเวลาเกิดเหตุ เห็นชาย 2 คนขี่ จยย. ออกมา โดยเห็นจำเลยที่ 1 นั่งซ้อนท้ายนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็ไม่ได้ระบุรูปพรรณสัณฐานลักษณะ หู ตา จมูก ปาก ใช้ชัดเจนเพื่อสเก็ตซ์ภาพคนร้าย แต่พยานให้การ หลังจำเลยถูกจับกุม พยานโจทก์จึงยังน่าสงสัย ขณะที่พยานโจทก์ซึ่งอ้างว่า ให้การถึงจำเลยที่ 1 เป็นผู้ลงมือยิง และจำเลยที่ 2 เป็นผู้ขี่รถจักรยานยนต์โดยมีการบันทึกคำให้การลงดีวีดีไว้นั้น โจทก์ก็ไม่ได้นำพยานคนดังกล่าวมาเบิกความ อีกทั้งจำเลยทั้งสองก็ต่อสู้ว่า ไม่ได้สมัครใจให้การ แต่ถูกบังคับข่มขู่ และแม้ว่าจำเลยจะให้การรับสารภาพชั้นสอบสวน แต่ภายหลังเมื่อจำเลย มีทนายความ ก็ให้การปฏิเสธ และจำเลยก็ได้ยื่นร้องเรียนเกี่ยวกับการกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจในหลายส่วนด้วย พยานหลักฐานที่อัยการโจทก์ และโจทก์ร่วมนำสืบ ยังมีข้อน่าสงสัยหลายประการ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยทั้งสอง
ศาลฎีกาจึงพิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้อง นายจตุรงค์ จำเลยที่ 1 ส่วนนายประกอบ จำเลยที่ 2 ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่พิพากษายกฟ้อง
ภายหลังนายจตุรงค์ และนายประกอบ จำเลยทั้งสอง ซึ่งอยู่ในชุดนักโทษพร้อมโซ่ตรวน ก็ได้ยิ้มให้กัน ซึ่งวันนี้ศาลเบิกตัว จำเลยทั้งสองมาจากเรือนจำเพื่อฟังคำพิพากษา
ด้าน นายเจษฎา วิวัฒนานุกูล บุตรชายนางระวีวรรณ กล่าวว่า เมื่อศาลมีคำพิพากษาออกมาเช่นนี้ ก็ต้องเคารพ สำหรับสังคม ส่วนตัวก็อยากสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นกรณีศึกษา สำหรับเหตุการณ์ที่ผู้หญิงคนหนึ่งถูกยิงเสียชีวิตก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย จับใครไม่ได้
เมื่อถามว่า ยังหวังที่รื้อฟื้นคดีใหม่หรือไม่ นายเจษฎา กล่าวว่า ต้องปรึกษาครอบครัวอีกครั้ง เพราะคดีตอนนี้ก็ไม่มีอะไร ไม่รู้ว่าถ้าจะรื้อฟื้นจะมีอะไรหรือไม่
"ถามว่าเหนื่อยมั้ย เราก็เหนื่อยเพราะสู้มาตั้งแต่ผมอายุ 20 ปี ตอนนี้เวลาผ่านมา 8 ปีแล้ว แต่ชีวิตแม่ เราก็ต้องลุย เมื่อมาถึงได้แค่นี้ ก็แค่นี้เราเป็นเพียงเด็ก" นายเจษฎา กล่าวความในใจ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ นพ.ไพศาล หรือ กวีวัธน์ เฮงสวัสดิ์ อายุ 43 ปี เจ้าของสถาบันเสริมความงามไบโอคลินิก ย่านดอนเมือง ที่ถูกพนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 8 และนางรวีวรรณ เสตะรัต (เสียชีวิตแล้ว) ยื่นฟ้องฐาน ฉ้อโกงประชาชน และประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส กรณีเปิดให้บริการทำศัลยกรรมเสริมความงาม โดยใช้วิธีการเทคนิคพิเศษ ใช้สารไบโอศัลยกรรมตกแต่งใบหน้า ซึ่งเป็นสารที่ไม่ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ทำให้ประชาชนหลงเชื่อและใช้แล้วเกิดผลกระทบข้างเคียง เมื่อระหว่างเดือน เม.ย.2546 - มี.ค.2548 เมื่อวันที่ 17 พ.ย.2551 ศาลอาญาได้พิพากษายกฟ้อง เนื่องจาก พยานหลักฐานโจทก์ ยังรับฟังไม่ได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการหลอกลวงประชาชน อีกทั้งขั้นตอนการผ่าตัดก็ได้รับการรับรองจากสมาคมศัลยแพทย์ฯ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี