คำถาม ผมอยากทราบวิธีการผลิตน้ำหมักชีวภาพจากปลา และมีวิธีใช้อย่างไรบ้างครับ
อำนาจ องค์เจริญ
อ.หลังสวน จ.ชุมพร
คำตอบ น้ำจากปลาหมัก ประกอบด้วย โปรตีนและกรดอะมิโน ซึ่งเกิดจากกระบวนการย่อยสลายของโปรตีนในตัวปลา จากข้อมูลทางวิชาการบ่งชี้ชัดว่ากรดอะมิโน สามารถจับตัวกับธาตุอาหารปุ๋ย ทำให้ปุ๋ยสามารถดูดซึมเข้าสู่ต้นพืชได้เร็วขึ้น ตรงกับคำบอกเล่าของเกษตรกร ที่พบว่าน้ำจากปลาหมักช่วยพัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ เช่น ดอกไม้มีสีสดขึ้น ผลไม้มีคุณภาพดี และช่วยเร่งการแตกยอดและดอกใหม่ ตลอดจนการเพิ่มผลผลิตของพืช
กรดอินทรีย์ที่นิยมใช้ในการผลิตน้ำจากปลาหมัก ได้แก่ กรดมด (กรดฟอร์มิคหรือกรดกัดยาง) และกรดน้ำส้มสายชู (กรดอะซิติก) ซึ่งกรดทั้งสองมีการใช้กันอย่างแพร่หลายในต่างประเทศ มีการใช้กรดทั้งสองชนิดในการผลิตปลาหมัก เนื่องจากกรดมด หรือกรดกัดยางเป็นกรดที่หาได้ง่ายในพื้นที่ที่ทำสวนยาง ได้แก่ ภาคใต้ ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนกรดน้ำส้มสายชูจะถูกนำมาใช้ในพริกดอง ซึ่งมีความเข้มข้นของกรด 5 เปอร์เซ็นต์ แต่ที่จะนำมาใช้ในการผลิตปลาหมักเป็น กรดน้ำส้มสายชูเข้มข้น ที่เรียกว่า“หัวน้ำส้ม” สามารถหาซื้อได้ในตลาดสดแทบทุกแห่ง
สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย พบว่า น้ำจากปลาหมัก หรือปุ๋ยปลา เป็นน้ำหมักชีวภาพ ที่ได้จากการย่อยสลายวัสดุเหลือใช้จากปลา ได้แก่ หัวปลา ก้างปลา หางปลา พุงปลา และเลือด ผ่านขบวนการหมักโดยการย่อยสลายโดยการใช้เอนไซม์ ซึ่งเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ หลังจากหมักจนได้ที่แล้ว จะได้สารละลายสีน้ำตาลเข้ม ประกอบด้วยธาตุอาหารหลัก ได้แก่ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม และธาตุอาหารรอง ได้แก่ แคลเซียม แมกนีเซียม และกำมะถัน และธาตุอาหารเสริม ได้แก่เหล็ก ทองแดง และแมงกานีส
การผลิตน้ำหมักชีวภาพจากปลาด้วยน้ำส้มสายชูเข้ม ในกรณีที่ไม่มีหินฟอสเฟต อาจใช้กระดูกป่น หรือปูนโดโลไมท์ หรือปูนขาว อย่างใดอย่างหนึ่งในอัตรา 10 กิโลกรัมต่อน้ำหมักจากปลา 100 ลิตร เช่นเดียวกันกับหินฟอสเฟต การหมักกรดอินทรีย์มีข้อดี คือ สามารถหาซื้อได้ง่ายกว่า และสามารถนำไปใช้เลี้ยงสัตว์ได้ แต่มีข้อเสียคือ มีปริมาณธาตุอาหารฟอสฟอรัสต่ำ ดังนั้น หากมิใช่นำไปใช้กับเกษตรอินทรีย์ จึงมักแนะนำให้ผสมปุ๋ยเกล็ดที่มีสูตรตัวกลางสูง เช่น 12-57-17 หรือ 10-30-20 หรืออาจเป็นปุ๋ยเม็ด เช่น 16-20-0 หรือ 15-15-15 อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ จะทำให้น้ำหมักจากปลามีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น
ส่วนผสมที่ใช้ในการผลิตน้ำหมักชีวภาพจากปลาเศษปลาบดละเอียด 100 กิโลกรัม หมักในถังพลาสติก 30 วัน และกวนทุกวัน ปุ๋ยปลา(100 ลิตร ผสมกากน้ำตาล 20 กิโลกรัม และกรดน้ำส้มสายชูเข้มข้น 3.5 ลิตรขั้นตอนการผลิตปุ๋ยปลาจากกรดน้ำส้มสายชูเข้ม น้ำหมักจากปลาสามารถผลิตได้โดยการนำเอาพุงปลา และเลือดปลา มาทำการบดให้มีขนาดเล็กลง จากนั้นนำไปหมัก โดยใช้กรดมดเข้มข้น หรือกรดน้ำส้มสายชูเข้มข้น ในปริมาณร้อยละ 3.5 มาผสมให้เข้ากันกับพุงปลาและเลือด เติมกากน้ำตาลในปริมาณร้อยละ 20 เพื่อช่วยดับกลิ่นคาวจากเศษปลา ทำการคนให้เข้ากัน และคนติดต่อกันอย่างน้อยเป็นเวลา 7 วัน ในระยะนี้ จะสังเกตเห็นว่าพุงปลาเริ่มมีการละลายออกมาเป็นสารละลายเกือบหมดแล้ว จากนั้นทำการหมักต่อไปอีกเป็นเวลา 21 วัน ในระหว่างที่ทำการหมักให้คนน้ำหมักปลาเป็นครั้งคราว
การหมักปลา ถ้าใช้เวลานาน จะได้น้ำหมักปลาที่มีคุณภาพและกลิ่นที่ดี บางครั้งน้ำหมักปลาที่หมักได้จะมีคุณภาพของปุ๋ยที่มีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับชนิดของวัตถุดิบ และกระบวนการหมัก แต่โดยทั่วไปแล้ว เมื่อหมักเป็นเวลา 1-2 เดือน จะมีธาตุอาหารไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบ ประมาณ 3.5 เปอร์เซ็นต์ โพแทสเซียม 0.5-1 เปอร์เซ็นต์ น้ำหมักปลาจะมีกลิ่นหอม และกลายเป็นสีน้ำตาลเข้ม ก่อนนำน้ำหมักปลาไปใช้ต้องทำการสะเทินกรดที่เหลืออยู่ในน้ำหมักปลาเสียก่อน (กรดที่เหลือจะเป็นอันตรายต่อพืช ทำให้ใบไหม้ ถ้าใช้ในความเข้มข้นสูง) โดยการใส่หินฟอสเฟตบด (ปุ๋ยสูตร 0-3-0) ในอัตรา 10 กิโลกรัมต่อน้ำหมักปลาจำนวน 100 ลิตร หมักทิ้งไว้อีก 1 สัปดาห์ จึงนำปุ๋ยปลาไปใช้ได้
น้ำหมักชีวภาพที่ทำจากปลานั้น นับว่ามีประโยชน์ต่อต้นไม้หลายประการ แต่ไม่ควรละเว้นการบำรุงต้นไม้ด้วยการเพิ่มธาตุอาหารทางดินไปพร้อมกัน ไม่ว่าจะใช้ปุ๋ยเคมี ปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยคอกควบคู่กันจะได้ผลดียิ่งขึ้น และสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการทำการเกษตรนั้นคือ ควรเอาใจใส่ดูแล และคอยแก้ไขปรับปรุงบำรุงในพื้นที่อยู่เสมอ แล้วผลผลิตของท่านจะมีความยั่งยืนตลอดไป
นาย รัตวิ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี