คล้อยหลัง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) ลงนามในคำสั่ง “เปลี่ยนตัว” โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(โฆษก ตร.) จาก “บิ๊กตุ้ย” พล.ต.อ.ประวุฒิ ถาวรศิริ ที่ปรึกษา สบ 10 เป็น พล.ต.อ.เดชณรงค์ สุทธิบัญชา ที่ปรึกษา สบ 10 ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในแวดวงสังคมอย่างยิ่ง
นั่นเพราะคำสั่งดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงที่คดีแอบอ้างเบื้องสูง ที่มีการออกหมายจับนายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ หรือ “หมอหยอง” และ พ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา หรือ “สารวัตรเอี๊ยด” สว.กก.1บก.ปอท. กำลังเป็นที่สนใจ แต่ “บิ๊กตุ้ย” กลับเงียบหายไปจากแวดวงข่าว จากปกติจะปรากฏตัวออกมา “ให้ข่าว” หรือ “แถลงข่าว” เรื่องต่างๆ และคดีใหญ่ๆอยู่เป็นนิจ แต่กลับมีภาพถ่ายของ “หมอหยอง-สารวัตรเอี๊ยด” ที่ถ่ายคู่กับ พล.ต.อ.ประวุฒิ ในสถานที่และในกิจกรรมสำคัญต่างๆปรากฏขึ้นมาแทนที่
ท่ามกลาง “ข่าวลือ” ที่ว่าจะมีการออกหมายจับบุคคลที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม โดยอาจมี “นายพลสีกากี” เกี่ยวข้องด้วย!!!
ไม่ว่าข่าวลือดังกล่าวจะ “จริง-เท็จ” อย่างไร และแม้ว่า ผบ.ตร.จะย้ำหนักแน่นว่าการเปลี่ยนตัวโฆษก ตร. ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้ แต่ก็ทำให้ชื่อของ พล.ต.อ.ประวุฒิ ได้รับความสนใจมากยิ่งขึ้น
สำหรับ พล.ต.อ.ประวุฒิ เกิดเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2499 ที่กรุงเทพมหานคร มีชื่อเล่นว่า “ตุ้ย” จบการศึกษาระดับมัธยมจากโรงเรียนเซนต์ดอมินิก จากนั้นได้เข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนเตรียมทหาร(ตท.) รุ่น 15 และโรงเรียนนายร้อยตำรวจ(นรต.) รุ่น 31 รุ่นเดียวกับ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีต ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง
นอกจากนั้น “บิ๊กตุ้ย” ยังสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขานิติศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รุ่น 34(ภาคบัณฑิตรหัส 48) และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท สาขาอาชญาวิทยาและงานยุติธรรม จากมหาวิทยาลัยมหิดล และปริญญาเอก สาขาอาชญาวิทยาการบริหารและงานสังคม จากมหาวิทยาลัยมหิดล
ชีวิตราชการส่วนใหญ่จะเติบโตในงานด้านธุรการ และการบริหารเป็นหลัก โดยหลังจากได้รับพระราชทานยศร้อยตำรวจตรี ได้เริ่มรับราชการครั้งแรกในตำแหน่งรองสารวัตรสอบสวน สน.คลองตัน , รองสารวัตรสอบสวน สน.ลุมพินี , สารวัตรประจำกองกำกับการสืบสวน กองบังคับการตำรวจนครบาลพระนครใต้ จากนั้นขยับไปเป็นรองผู้กำกับการที่ส่วนตรวจราชการ จเรตำรวจ และรองผู้กำกับการตำรวจท่องเที่ยว จากนั้นขยับขึ้นเป็นผู้กำกับการที่กองวินัย , รองผู้บังคับการกองสวัสดิการ , รองผู้บังคับการกองทะเบียนพล
จนกระทั่งปี 2547 เป็นเลขานุการตำรวจแห่งชาติ ต่อมาเป็นรองผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง , รองจเรตำรวจ(สบ 7) , รองผู้บัญชาการสำนักงานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร , ผู้บัญชาการสำนักงานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
พล.ต.อ.ประวุฒิ เป็น “กระบอกเสียง” ให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มาแล้ว 4 ครั้ง โดยครั้งแรกในสมัยที่ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ ดำรงตำแหน่งรักษาราชการแทน ผบ.ตร. , ครั้งที่สอง ในสมัยที่ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี เป็น ผบ.ตร. , ครั้งที่สาม สมัย พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เป็น ผบ.ตร. และครั้งล่าสุด พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา เป็น ผบ.ตร. ซึ่งมีคำสั่งที่ 570/2558 ลงวันที่ 14 ตุลาคม 2558 ให้ พล.ต.อ.ประวุฒิ เป็นโฆษก ตร.อีกครั้ง ก่อนมีคำสั่งเปลี่ยนตัวอย่างกะทันหัน โดยคำสั่งดังกล่าวมีผลตั้งแต่วันที่ 26 ต.ค.2558 เป็นต้นไป
ตลอดระยะเวลาที่ทำหน้าที่ “โฆษก ตร.” พล.ต.อ.ประวุฒิ ถือว่าได้รับการยอมรับจากบรรดาสื่อมวลชนและประชาชนไม่น้อย ในฐานะโฆษกที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความถูกต้อง รวดเร็ว และทันเหตุการณ์ โดยมีรางวัลสุดยอดเกียรติยศตำรวจไทย สาขา “ตำรวจเพื่อประชาชน” ที่เจ้าตัวได้รับในวันตำรวจครั้งที่ผ่านมาเป็นเครื่อง “การันตี”
“ข่าวลือ” ที่โยงใยกับคดีหมิ่นเบื้องสูง พร้อมๆกับการค่อยๆ “เงียบหาย” ไปของ พล.ต.อ.ประวุฒิ โดยมีกระแสข่าวว่าได้ลาพักร้อน เพื่อเดินทางไปพักผ่อนที่ต่างประเทศ และจะเดินทางกลับมายังประเทศไทยในวันที่ 2 พ.ย.นี้ สำทับด้วยคำสั่งล่าสุดของ ผบ.ตร. ได้สร้างความ “สงสัย” ให้เกิดขึ้นในแวดวงสื่อมวลชน และประชาชนทั่วไปไม่น้อย สุดท้ายข้อเท็จจริงจะเป็นเช่นไร วันพุธที่ 28 ต.ค.นี้...
ผบ.ตร.น่าจะมี “คำตอบ” ที่ชัดเจนให้!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
ขอบคุณภาพ : www.patrolnews.net
www.saranitet.police.go.th
www.thairpm.com
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี