29 ต.ค. 58 ที่โรงแรมสวิสโฮเต็ล นายนิพิฐ อิศรางกูร ณ อยุธยา อดีตผู้บริหารบริษัทปตท.กรีน เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด(PTTGE) ได้เปิดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ภายหลังจากถูกบริษัทปตท.จำกัด(มหาชน)และบริษัท PTTGE ฟ้องคดีต่อศาลแพ่ง เรียกค่าเสียหายเป็นจำนวนสูงถึง 20,000 ล้านบาทจากการบริหารงานที่ผิดพลาดในโครงการพัฒนาปาล์มน้ำมันประเทศอินโดนีเซียว่า เหตุการณ์ทั้งหมด มีการกระทำเป็นขบวนการ ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง กลั่นแกล้งและใส่ร้ายป้ายสีข้าพเจ้า โยนความผิดให้ตนตกเป็นแพะรับบาปแต่เพียงผู้เดียว โดยกลุ่มบุคคลและขบวนการดังกล่าวได้ออกข่าวฝ่ายเดียวบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร เอาความเท็จมาโจมตีให้ร้ายตนเรื่อยมา ที่ผ่านมานั้นตนไม่เคยได้รับความเป็นธรรม จึงขอชี้แจงข้อเท็จจริงตามลำดับ ดังนี้
“การบริหารงานใน PTTGE นั้นมีระยะเวลาการดำเนินการทั้งหมด 8 ปี มีกรรมการผู้จัดการถึง 4 คน โดยข้าพเจ้าเป็นเพียงแค่ 1 ใน 4 เท่านั้น และบริหารงานเพียง 3 ปีเศษก็ได้พ้นจากตำแหน่งไป
1.เกี่ยวกับการลงทุน
การลงทุนโครงการปาล์มน้ำมันในประเทศอินโดนีเซียนั้น แบ่งออกเป็น 2 ช่วงระยะเวลาใช้เงินลงทุนไป ดังต่อไปนี้
การลงทุนในช่วงแรก ระหว่างเดือนกรกฎาคม 2550 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2555 ภายใต้การบริหารงานของข้าพเจ้า กับนายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ได้ใช้เงินลงทุนในโครงการไปประมาณ 242.8 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 7,800 ล้านบาท ได้รับทรัพย์สินและที่ดินมาครบถ้วนเต็มตามจำนวนเงินที่ได้ลงทุนไป เพราะทุกสัญญาเป็นสัญญาที่มีเงื่อนไข ไม่ใช่สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด การลงทุนในช่วงแรกนี้ปราศจากการทุจริตใดๆทั้งสิ้นและไม่ความเสียหายจากการลงทุนในโครงการเลย
การได้มาซึ่งสิทธิในที่ดินทุกแปลงทั้ง 5 โครงการในช่วงที่ข้าพเจ้าบริหารงานนั้นได้มาโดยสุจริต และราคาต่ำกว่าท้องตลาดไม่มีการทุจริตคอรัปชั่น ถ้าหากขายในปัจจุบันจะได้กำไรมหาศาล(หากไม่ขายต่ำกว่าราคาท้องตลาด)
การลงทุนในช่วงที่สอง
ต่อมาวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2555 ข้าพเจ้า ถูกปลดให้พ้นจากตำแหน่ง มีคณะผู้บริหารชุดใหม่มาดำเนินการแทนและได้ลงทุนไปประมาณ 330.8 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 10,750 ล้านบาท
การลงทุนในช่วงที่สองนั้น ข้าพเจ้าไม่มีส่วนรู้เห็น รับรู้รับทราบและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆทั้งสิ้น เนื่องจากได้พ้นตำแหน่งรักษาการกรรมการผู้จัดการของ PTTGE ไปแล้ว ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2555
จะเห็นได้ว่าการบริหารงานใน PTTGE นั้นมีระยะเวลาการดำเนินการทั้งหมด 8 ปี มีกรรมการผู้จัดการถึง 4 คน ข้าพเจ้าเป็นเพียงแค่ 1 ใน 4 เท่านั้น และบริหารงานเพียง 3 ปีเศษก็ได้พ้นจากตำแหน่งไป
แต่ในคดีแพ่งนี้กลับเลือกปฏิบัติฟ้องข้าพเจ้าแต่เพียงผู้เดียว เพื่อโยนความผิดให้ข้าพเจ้าเป็นผู้รับผิดแต่เพียงผู้เดียวเป็นเงินถึง 2 หมื่นกว่าล้านบาท ซึ่งในคำฟ้องนั้นขัดแย้งต่อหลักความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิงเนื่องจากการลงทุนในช่วงที่สองนั้นข้าพเจ้าได้พ้นจากตำแหน่งไปแล้ว ข้าพเจ้าจะทำให้ ปตท.และ PTTGE เกิดความเสียหายได้อย่างไร ดังนั้นจึงไม่มีการกระทำใดๆของข้าพเจ้าทั้งสิ้นที่ทำให้เกิดความเสียหาย
2.มีการบริหารงาน ลงทุน และร่วมกันทุจริตคอรัปชั่นทำให้ ปตท. และ PTTGE ได้รับความเสียหายภายหลังจากที่ข้าพเจ้าได้พ้นจากตำแหน่งไปแล้ว
หลังจากที่ข้าพเจ้าพ้นจากตำแหน่งแล้ว ผู้บริหารชุดใหม่ได้เข้ามาบริหารโดยได้มีการลงทุนเพิ่มเติม บริหารงานผิดพลาดล้มเหลว ทำให้ขาดทุน แล้วพยายามล้มเลิกโครงการในที่สุด พอล้มเลิกโครงการแล้วกลับขายทรัพย์สินในราคาต่ำกว่าท้องตลาด
ขอกล่าวพอสังเขป ดังนี้
2.1 ได้มีการนำงบประมาณปลูกปาล์มน้ำมันของ PTTGE ที่จะต้องนำไปปลูกปาล์มในพื้นที่ของบริษัทร่วมทุนโครงการ PT.KPI โดยนำไปใช้ปลูกปาล์มในพื้นที่ส่วนตัวของเอกชน ทำให้ PTTGE ได้รับความเสียหาย
2.2 มีการทุจริตโรงสกัดน้ำมันปาล์ม ในโครงการ PT.KPI มีการทำเอกสารย้อนหลัง อีกทั้งมูลค่าก่อสร้างในสัญญารวมประมาณกว่า 14.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งแพงกว่ามาตรฐานการก่อสร้างในท้องตลาดอย่างมาก มีหลายบริษัทเสนอราคารับจ้างก่อสร้างตามแบบชนิดเดียวกันทุกประการโดยทำราคาเสนอมาที่ข้าพเจ้า 3 ราย โดยเฉลี่ยแล้วอยู่ประมาณ 11.25-11.96 ล้านเหรียญสหรัฐฯเท่านั้น และทุกรายสามารถลดราคาลงได้อีกพอสมควร
2.3 จงใจปล่อยปละละเลยไม่ต่อใบอนุญาตในการดำเนินธุรกิจน้ำมันปาล์ม ทั้งที่หน่วยงานราชการท้องถิ่นของประเทศอินโดนีเซียได้มีหนังสือทวงถามให้ดำเนินการต่อใบอนุญาตในการทำธุรกิจปลูกปาล์ม เป็นเหตุให้รัฐบาลอินโดนีเซียยึดที่ดินกลับคืนเป็นของรัฐ มากกว่า 66,000 ไร่
2.4 ปรากฏหลักฐานตามรายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงการดำเนินงานของบริษัท PT.KPI ฉบับลงวันที่ 2 เมษายน 2556 โดยบริษัท Mckinsey & Company สรุปผลการดำเนินงานของบริษัท PT.KPI ประสบความล้มเหลวในการบริหารกิจการในธุรกิจน้ำมันปาล์ม โดยมีข้อบกพร่องทั้งหมด 18 ข้อ ซึ่งผลสรุปได้ชี้ชัดถึงความไม่โปร่งใส และมีการทุจริตในโครงการดังกล่าว ขอยกตัวอย่างเพียง 2 ข้อ จาก 18 ข้อ เช่น
-มีการทุจริตซื้อปุ๋ยในราคาแพงกว่าราคาตามท้องตลาดถึง 9 เท่า
-ต้นทุนการเก็บเกี่ยวผลปาล์มสูงกว่ามาตรฐานการเก็บเกี่ยวทั่วไปอย่างมาก
2.5 กลุ่มบุคคลดังกล่าวนั้นพยายามจะล้มเลิกโครงการปลูกปาล์มน้ำมันอินโดนีเซียโดยอ้างว่าไม่น่าจะทำกำไรให้กับ ปตท.และ PTTGE แทนที่จะยุติโครงการทุกโครงการโดยทันที หรือยกเลิกสัญญาที่ข้าพเจ้าเคยได้ทำไว้ แต่กลับลงทุนเพิ่มเติมเป็นเงินจำนวนมาก ทำให้ ปตท.และ PTTGE ได้รับความเสียหาย
2.6 มีการทุจริตคอรัปชั่น สมคบคิดเป็นขบวนการ สร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงให้กับ ปตท.และ PTTGE โดยการขายที่ดินและทรัพย์สินทุกแปลงทุกโครงการขายต่ำกว่าท้องตลาดทั้งสิ้น ทั้งนี้เพื่อหนีการตรวจสอบจากป.ป.ช.และหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
- มีการขายทรัพย์สินและที่ดินในโครงการ PT.MAR ต่ำกว่าราคาตลาดอย่างมาก ทั้งที่มีบริษัทอินโดนีเซีย และบริษัทต่างชาติให้ความสนใจติดต่อขอซื้อโดยตรงในราคา 80 - 100 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2,600 – 3,200 ล้านบาท แต่กลับเอื้อประโยชน์และรีบเร่งขายให้กับพวกพ้องของตนในราคาต่ำกว่าราคาตลาดในราคา 35 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1,100 ล้านบาท
- มีการขายทรัพย์สินและที่ดินในโครงการ AZ ZHARA ที่เซ็นทรัลกาลิมันตันต่ำกว่าราคาตลาดอย่างมาก มีหลักฐานปรากฏชัดเจนว่า มีนายอาคูสเตีย ซึ่งเป็นเจ้าของเดิม ขอเสนอราคาซื้อสิทธิโครงการในราคาสูงถึง 10 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่มีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้น กลุ่มผู้บริหาร PTTGE กลับขายให้ในราคาถูกกว่าราคาที่เสนอซื้อ โดยขายในราคา 6 ล้านเหรียญสหรัฐ (มีหลักฐานปรากฏชัดเจนทั้งเอกสารและแผ่นดี.วี.ดี. ซึ่งข้าพเจ้าจะนำเสนอหลักฐานต่างๆโดยละเอียดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรมต่อไป)
จะเห็นได้ว่าการกระทำต่างๆเหล่านี้เกิดขึ้นหลังจากที่ข้าพเจ้าได้พ้นตำแหน่งผู้บริหาร PTTGE ไปแล้ว และข้าพเจ้าก็ไม่มีส่วนรู้เห็นใดๆทั้งสิ้น
ต่อมาข้าพเจ้าได้ยื่นคำร้องสอดเพื่อเรียกบุคคลภายนอกผู้ที่กระทำผิดและก่อให้เกิดความเสียหายที่แท้จริงเข้ามารับผิดเป็นจำเลยร่วมในคดี โดยกลุ่มบุคคลที่เรียกมานั้นมีทั้งหมด 7 คน เป็นอดีตผู้บริหารปตท. กับ PTTGE 2 คน และยังอยู่ในตำแหน่งผู้บริหารในปัจจุบัน 5 คน
นอกจากนี้ข้าพเจ้าได้กล่าวหา กลุ่มบุคคลทั้ง 7 คนดังกล่าว กรณีเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ ไว้ต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช แล้ว เรื่องรับที่ 9128 ลงวันที่ 23 พฤษภาคม 2556 ซึ่งเรื่องนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของป.ป.ช. ย้อนกลับไปดูผลการสอบสวนทางวินัยผู้บริหาร ปตท. และ ปตท.สผ.กรณีการดำเนินธุรกิจปาล์มอินโดฯ ผู้บริหารถูกสอบสวนทางวินัยทั้งหมด 6 คน ทุกคนไม่มีความผิดทางวินัยร้ายแรง มีแค่หนังสือว่ากล่าวตักเตือน
ส่วนการสอบสวนข้าพเจ้านั้น มีการดำเนินการผิดขั้นตอนการสอบสวนทุกครั้งและก็ไม่พบทุจริตแต่อย่างใด เพราะความจริงคือข้าพเจ้าไม่ได้กระทำการทุจริตใดๆทั้งสิ้น แต่กลับมีคำสั่งให้ออก และเลือกปฏิบัติฟ้องร้องดำเนินคดีข้าพเจ้าแต่เพียงผู้เดียว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี