ผมคงรู้สึกกระอักกระอ่วนใจไม่น้อย หากต่อนี้ไปยังคงได้ยินเสียง “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีคนอื่นๆในรัฐบาล ออกมาพร่ำเพ้อถึงความเห็นอกเห็นใจที่มีต่อเกษตรกร เพราะจากมติครม. เรื่องการให้ความเห็นชอบร่างพ.ร.บ.ความปลอดภัยทางชีวภาพ หรือ พ.ร.บ.จีเอ็มโอ เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายนที่ผ่านมาได้ทำให้คำพูดคำห่วงใยที่มีต่อเกษตรกรของ พล.อ.ประยุทธ์ และทุกคนในรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา หมดความหมายลงไปในทันที
เพราะการให้ความเห็นชอบ “กฎหมายอัปลักษณ์” ฉบับนี้ ก็แทบไม่ต่างไปจากการเตรียมเปิดประตูพาเกษตรกรไทยไปสู่ “หลักประหาร” นั่นเอง
ถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ ครม. และโดยเฉพาะ “กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม” ซึ่งเป็นผู้เสนอกฎหมายฉบับนี้เข้าไปกับมือ ทราบเรื่องเหล่านี้หรือไม่
ตอบแบบไม่ต้องเดาก็ต้องบอกว่า “ทราบ”
เพราะที่ผ่านมาไม่ได้มีแต่เพียงนักวิชาการ ภาคประชาชน หรือสภาเกษตรกรแห่งชาติ ซึ่งเปรียบได้สภาของผู้แทนเกษตรกรทั่วประเทศเท่านั้น ที่พยายามออกมาชี้ให้รัฐบาลเห็นถึงช่องโหว่ แต่ยังมีหน่วยงานภาครัฐที่สำคัญ เช่น สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ และกระทรวงพาณิชย์ ที่ต่างก็ช่วยกันทักท้วงและย้ำเตือนถึงผลกระทบที่จะตามมา
โดยเฉพาะความย่อยยับของภาพลักษณ์“เกษตรอินทรีย์” ที่รัฐบาลเองก็ประกาศส่งเสริมอยู่ปาวๆ ในทุกวันนี้ ซึ่งแม้กระทั่ง พล.อ.ประยุทธ์ เองก็ด้วยไม่ใช่หรือที่หยิบเอาประเด็น “เกษตรอินทรีย์” ไปพูดโฆษณาชวนเชื่อกับนานาชาติบนเวทีการประชุมสหประชาชาติเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
นอกจากนี้ หากรัฐบาลลองหันไปมองกลับไปดู “กระแสโลก” เกี่ยวกับประเด็น “จีเอ็มโอ” เสียบ้าง ก็จะทราบว่า ปัจจุบันมีกี่ประเทศบ้างที่พากันตั้งป้อมเข้าใส่ “จีเอ็มโอ”
ลองลืมตาดูประเทศในสหภาพยุโรปบ้างสิครับว่า ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาพวกเขาทำอะไรบ้างกับนโยบาย “จีเอ็มโอ” ทั้งฝรั่งเศส เยอรมนี สกอตแลนด์ และอื่นๆ อีกหลายประเทศ เขาได้ประกาศ “ไม่เอา” จีเอ็มโอหรือเปล่า
หรือกระทั่งประเทศ “ญี่ปุ่น” ที่ทุกวันนี้ต้องตรวจสอบ “มะละกอ” นำเข้าจากประเทศไทยอย่างเข้มงวดแทบทุกลอต เป็นเพราะอะไร ลองกลับไปหาข้อมูลดูนะครับว่า ใช่เพราะมีการตรวจพบ “มะละกอ” บ้านเรามันปนเปื้อนจากผลแห่งความหละหลวมในการทดลองจีเอ็มโอหรือเปล่า เขาถึงต้องระวัง ไม่ให้เอาเข้าไปขายในประเทศ
การผลักดันกฎหมายอุ้มบุญ “จีเอ็มโอ” ฉบับนี้ของรัฐบาล จึงเท่ากับเป็นการปิดหนทางการค้าการส่งออกสินค้าเกษตรของตัวเองไปโดยปริยาย
รัฐบาลอาจจะบอกว่า กฎหมายฉบับนี้จะช่วยเรื่องการดำเนินการควบคุมดูแลการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีชีวภาพสมัยใหม่ให้เกิดวามปลอดภัยต่อความหลากหลายทางชีวภาพ และคำนึงถึงความเสี่ยงต่อสุขภาพของมนุษย์ ซึ่งใครได้ยินก็คงอดหัวร่องดหายไม่ได้ เพราะไอ้พูดๆ ไว้น่ะ ไม่มีประโยชน์อะไร เนื่องจากกฎหมายฉบับนี้ ไม่ได้กำหนดความรับผิดชอบของผู้ประกอบการหรือผู้ทำการทดลองจีเอ็มโอ หรือแม้แต่มาตรการคุ้มครองเกษตรกรในกรณีที่เกิดความเสียหายเอาไว้แม้แต่บรรทัดเดียว ซึ่งจึงเท่ากับเป็นการเปิดหนทางสู่ความหายนะมากขึ้น
สมมุตินะครับ สมมุติว่า ผมได้รับอนุญาตให้ทดลองปลูกจีเอ็มโอ แล้ววันดีคืนดีผมเกิดทำผิดพลาด ปล่อยให้จีเอ็มโอปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม หรือในแปลงเกษตรกรรายอื่นๆ ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ด้วย แต่กลับไม่มีมาตรการเอาผิดหรือกำหนดความรับผิดชอบของผม แบบนี้ผมก็สบายสิครับ จะบ้าบิ่นทดลอง จะทำให้เกิดความฉิบหายยังไงก็ได้ เพราะผมไม่ต้องรับผิดชอบ
อย่ามาอ้างเชียวว่า กระบวนการทดลองมีมาตรฐาน รัดกุม ไว้ใจได้ ผมไม่เชื่อคำพูดเหล่านี้แน่ เพราะไอ้ที่เคยหลุดๆ ออกมาจากแปลงทดลองในอดีต ก็เห็นพูดกันแบบนี้ทุกคน
ตัวอย่างก็มีให้เห็น ข้อมูลก็มีดู มันจึงน่าแปลกใจไม่น้อยว่า ทำไมรัฐบาลถึงอยากเล่นบท “เจ๊ดัน” พืชจีเอ็มโอกันนัก
กฎหมายว่าอัปลักษณ์แล้ว คนดันให้คลอดออกมา ผมว่ายิ่งอัปลักษณ์กว่า
มะลิลา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี