เห็นราคาน้ำมันทุกวันนี้ แล้วอดรู้สึกเป็นห่วงสถานการณ์ “ยางพารา” ในบ้านเราไม่ได้เพราะดังที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ราคายางพาราดีดพุ่งสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา เพราะราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่สามารถนำมาผลิตยางสังเคราะห์ได้ พุ่งสูงขึ้นอย่างน่ากลัว ส่งผลให้กลุ่มผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยางต้องหันมาพึ่งยางธรรมชาติที่ต้นทุนถูกกว่าเป็นวัตถุดิบแทนและเป็นส่วนสำคัญที่ผลักดันให้ราคายางพารากระโดดไปได้มากกว่ากิโลกรัมละ 100 บาท
น้ำมันแพง ราคายางพาราจึงแพง
และแน่นอน เมื่อน้ำมันถูกลง ราคายางก็ต้องร่วงตาม
เพราะกลุ่มผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยางพากันหวนกลับไปใช้ยางสังเคราะห์ที่ต้นทุนถูกกว่าอีกครั้ง
กลายเป็นสถานการณ์ซ้ำเติมราคายางที่เดิมผันผวนอยู่แล้วจากปริมาณที่มีอยู่ล้นตลาด ให้ผันผวนหนักขึ้นไปอีก
แต่ท่ามกลางความผันผวนที่เกิดขึ้นก็ยังพอเห็น “สัญญาณดี” บางอย่างเกิดขึ้น จากฝีมือของหน่วยงานภาครัฐที่พยายามจะหยิบจับเอานโยบายของรัฐบาลเรื่องการแก้ไขปัญหยางพารา โดยเฉพาะในประเด็นการวิจัยและพัฒนาการใช้ประโยชน์จากวัตถุดิบยางธรรมชาติมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อสร้างมูลค่าและเพิ่มปริมาณการใช้ยางธรรมชาติในประเทศ ซึ่งจะสามารถช่วยลดการพึ่งพาการส่งออกน้ำยางดิบเพียงอย่างเดียว และทำให้เกิด “ตลาดทางเลือก” แก่เกษตรกร
หน่วยงานหนึ่งที่สมควรได้รับเครดิตเรื่องนี้ คือ “กรมวิทยาศาสตร์บริการ”ซึ่งในช่วงที่ผ่านมามีการวิจัยและพัฒนาวัสดุยางสังเคราะห์จากยางธรรมชาติ สำหรับทำพื้นลู่ลานกรีฑา สนามกีฬา และลานอเนกประสงค์ กระทั่งประสบความสำเร็จ รวมทั้งมีการพัฒนาระบบการตรวจสอบคุณสมบัติของพื้นลู่ลานกรีฑา สนามกีฬา และพื้นลานอเนกประสงค์ โดยยึดตามมาตรฐานสหพันธ์กรีฑานานาชาติ (IAFF) และมาตรฐานสากล (ASTM F2157)
คิดไม่คิดเปล่า กรมวิทยาศาสตร์บริการ ยังอุตส่าห์นำงานวิจัยมาขยายผลด้วยการจัดสร้างลู่ลานกรีฑา สนามกีฬา และลานอเนกประสงค์ ขนาดพื้นที่ประมาณ 989ตารางเมตร แบ่งเป็นพื้นที่ลานอเนกประสงค์ 136 ตารางเมตร ลู่ลานกรีฑา 258 ตารางเมตรและสนามกีฬา 595 ตารางเมตร ที่ “โรงเรียนบางยี่ขันวิทยาคม” ถ.จรัญสนิทวงศ์ 42 ย่านบางพลัด กทม. เพื่อเป็นพื้นที่สาธิตให้แก่หน่วยงานภาครัฐรวมทั้งภาคธุรกิจเอกชนที่สนใจจะนำองค์ความรู้เหล่านี้ไปขยายผลเชิงพาณิชย์ ซึ่งต้องเรียกว่าเป็นการดำเนินงานที่ครบวงจร และพิสูจน์ให้เห็นถึงการนำเทคโนโลยีมาใช้ประโยชน์ได้อย่างเป็นรูปธรรมจริงๆ
เวลานี้จึงเหลือเพียงอย่างเดียวเท่านั้น คือ หน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม จะต้องเข้ามาช่วย “ออกแรง” ขยายผลสนับสนุนให้ภาคเอกชนมารับเทคโนโลยีนี้ไปสานต่อเพื่อผลิตเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรมให้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะเท่ากับเป็นการช่วยให้ตลาดยางธรรมชาติของเกษตรกรมี “ทางไป” มากขึ้นรวมทั้งเป็นการเพิ่มมูลค่าและการใช้งานในประเทศไปในตัวตามคอนเซ็ปต์ของรัฐบาลได้อย่างลงตัว
พูดถึงเรื่องการวิจัยและพัฒนายาง อีกหน่วยงานหนึ่งที่จะมองข้ามไม่พูดถึงไม่ได้ คือ “กรมวิชาการเกษตร” ของอธิบดี “สมชาย ชาญณรงค์กุล” เพราะเป็นหน่วยงานหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยยางพารามาตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน
และธงหนึ่งที่ “อธิบดีสมชาย” ประกาศเสียงหนักแน่นให้เป็นนโยบายสำคัญของกรมวิชาการเกษตร คือ การรื้อการดำเนินงานวิจัยด้านการเกษตรที่สามารถ “ตอบโจทย์” ของเกษตรกรได้มากขึ้น ทำให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจ เกษตรกรสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการเพิ่มมูลค่าสินค้า มีรายได้ มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
ยอมรับครับว่า แม้ลึกๆ จะอดคิดไม่ได้ว่า นโยบายที่ประกาศออกมา จะเป็นจริงได้สักกี่มากน้อย แต่อีกใจหนึ่งก็มองว่า นี่น่าจะเป็นการเริ่มต้นที่ดีสำหรับการพัฒนางานวิจัยเพื่อเกษตรกร
ประเด็นเรื่องศักยภาพของผู้วิจัย ผมไม่เคยห่วง เพราะในกรมวิชาการมีนักวิชาการ นักวิจัย และผู้เชี่ยวชาญที่เก่งๆ อยู่เยอะมาก และที่ผ่านมาก็มีผลงานดีๆ ออกมาหลายเรื่องเช่น การนำยางพารามาทำยางมะตอยราดถนนหรือแม้แต่การพัฒนาพันธุ์พืช พันธุ์ไม้ และโดยเฉพาะพันธุ์ยางพาราที่ให้ผลผลิตได้สูง
แต่สิ่งที่เป็นปัญหามาโดยตลอด ส่วนหนึ่งคือการสนับสนุนจากระดับบริหาร ทั้งในระดับกรม ระดับกระทรวง และระดับรัฐบาล ซึ่งทำให้งานวิจัยหลายชิ้นถูกจับโยนไปไว้บนหิ้ง ไม่ถูกนำมาใช้งาน
ดังนั้นเมื่ออธิบดีสมชายประกาศออกมาเช่นนี้ ก็ต้องถือเป็นการเริ่มที่ดี
ทีนี้ก็เหลือแค่การนำไปปฏิบัติให้ได้ตามอย่างที่พูดออกมา
วันนี้ขอเอาใจช่วยก่อนนะครับ
มะลิลา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี