กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ความสำคัญต่อการดูแลพี่น้องเกษตรกรด้วยการช่วยเหลือและสนับสนุนการผลิตสินค้าเกษตรมีคุณภาพดี จึงกำหนดเป็นวาระสำคัญให้ ปี 2559 เป็นปีแห่งการลดต้นทุนการผลิตทางการเกษตร โดยในภาคการผลิตข้าวนั้น เมล็ดพันธุ์ข้าวที่ดีมีคุณภาพเป็นปัจจัยแรกที่สำคัญในการผลิตข้าวคุณภาพดี ในเรื่องนี้พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ความสำคัญและติดตามการทำงานของกรมการข้าวมาอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดนี้ได้ตรวจเยี่ยมศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวพิษณุโลก
นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ อธิบดีกรมการข้าว กล่าวว่า จากข้อมูลการเพาะปลูกข้าวปี 2557/2558 มีพื้นที่ปลูกข้าวทั้งหมด 73.33 ล้านไร่ เป็นพื้นที่ปลูกข้าวนาปี จำนวน 60.21 ล้านไร่ และพื้นที่ปลูกข้าวนาปรัง จำนวน 13.12 ล้านไร่ ทำให้มีความต้องการเมล็ดพันธุ์ข้าวเพื่อการเพาะปลูกปีละประมาณ 1.1 ล้านตัน ในอัตราเฉลี่ยที่ใช้เพาะปลูก 15 กิโลกรัมต่อไร่ โดยมีภาครัฐและผู้ประกอบการผลิต เมล็ดพันธุ์ข้าวประมาณ 600,000 ตันต่อปี หรือคิดเป็น 55% และชาวนาบางส่วนเก็บเมล็ดพันธุ์เพื่อใช้เพาะปลูกเองอีกประมาณ 300,000 ตัน หรือคิดเป็น 27% ทำให้ชาวนามีความต้องการซื้อหาเมล็ดพันธุ์ข้าวอีกประมาณปีละ 200,000 ตัน หรือคิดเป็น 18% ของเมล็ดพันธุ์ที่ใช้ปลูก
กรมการข้าว เป็นหน่วยงานหลักของภาครัฐที่ทำหน้าที่ผลิตเมล็ดพันธุ์ชั้นหลักและขั้นพันธุ์ขยายปีละ 80,000 ตัน ร่วมกับการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวให้แก่ผู้ประกอบการภาคเอกชน ชุมชนเกษตรกร สถาบันเกษตรกรในการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวทั้งในประเทศและภูมิภาคอาเซียน เพื่อให้สามารถผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวที่มีคุณภาพมาตรฐาน และกระจายสู่เกษตรกรอย่างเพียงพอและทั่วถึง สอดคล้องกับการเพาะปลูกในแต่ละพื้นที่ ทำให้ชาวนามีโอกาสได้ใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดี และเมื่อเปรียบเทียบการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวกับประเทศ ในภูมิภาคอาเซียนแล้วประเทศไทยมีความได้เปรียบในด้านการวิจัยและพัฒนาปรับปรุงพันธุ์ข้าวอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ พ.ศ. 2478-2558 มีการพัฒนาพันธุ์ข้าวมาแล้วทั้งสิ้น 135 พันธุ์ เป็นข้าวเจ้า
107 พันธุ์ และข้าวเหนียว 28 พันธุ์ มีความพร้อมในด้านสภาพอากาศ เทคโนโลยีการผลิต รวมทั้งมีการตรวจสอบและรับรองระบบการผลิตเมล็ดพันธุ์อย่างถูกต้องเหมาะสม
นายอนันต์ กล่าวต่อว่า ในฤดูกาลเพาะปลูกข้าวนาปีที่กำลังจะมาถึงนี้ กรมการข้าวมีแผนการผลิตเมล็ดพันธุ์ปี 2559 ไว้รองรับความต้องการจำนวน 78,000 ตัน ซึ่งเป็นการปรับลดกำลังการผลิตเนื่องจากปัญหาภัยแล้งที่กระทบต่อการหาพื้นที่เหมาะสมในการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว โดยแยกเป็นกลุ่มข้าวเจ้าไม่ไวแสง จำนวน 37,250 ตัน ได้แก่ พันธุ์ชัยนาท 1 กข29 ปทุมธานี 1 กข31 พิษณุโลก 2 สุพรรณบุรี 1 กข41 กข47 กข49 กข55 กข57 กข61 กลุ่มข้าวเจ้าไวแสง จำนวน 550 ตัน ได้แก่ พันธุ์เฉี้ยงพัทลุง เล็บนกปัตตานี สังข์หยดพัทลุง กลุ่มข้าวเหนียว จำนวน 11,900 ตัน ได้แก่ พันธุ์สันป่าตอง 1 กข12 กข6 และกลุ่มข้าวหอมมะลิ จำนวน 28,300 ตัน ได้แก่ พันธุ์ กข15 และขาวดอกมะลิ 105
และเพื่อให้เกษตรกรเข้าถึงเมล็ดข้าวคุณภาพดี กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงได้สั่งการให้จัดตั้งศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวเพิ่มเติมในพื้นที่ที่ขาดแคลนเมล็ดพันธุ์ข้าว และยังไม่มีศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวในพื้นที่นั้นๆ จำนวน 15 แห่ง เพื่อเพิ่มกำลังผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวศูนย์ละ 4,000 ตันต่อปี รวมกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจำนวน 60,000 ตันต่อปี โดยระยะที่ 1 เริ่มในปีงบประมาณ 2559 จำนวน 5 ศูนย์ ได้แก่ ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวนครนายก ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวบุรีรัมย์ ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวศรีสะเกษ ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวอำนาจเจริญ ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวบึงกาฬ ในขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับพื้นที่ เพื่อเตรียมรับการก่อสร้างในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ และมีกำหนดแล้วเสร็จกลางปี 2560
ระยะที่ 2 ปีงบประมาณ 2560-2561 มีโครงการก่อสร้างศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวอีก 10 ศูนย์ ได้แก่ ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวพิจิตร ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวเพชรบูรณ์ ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวมหาสารคาม ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวชัยภูมิ ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวสระแก้ว ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวสุพรรณบุรีศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวเชียงราย ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวนครพนม ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวนครปฐม และศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวยโสธร
นอกจากนี้กรมการข้าวจัดทำยุทธศาสตร์การเป็นศูนย์กลางการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว เพื่อเป็นแนวทางเร่งรัดการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ข้าวอย่างเป็นระบบ เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ส่งผลให้ประเทศไทยเป็นผู้นำการผลิตข้าวคุณภาพ เสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหาร และเป็นแหล่งองค์ความรู้เทคโนโลยีการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวในอนาคต
ด้านนายวินัย ชมภูแก้ว ผู้อำนวยการกองเมล็ดพันธุ์ข้าว กล่าวว่า ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวพิษณุโลก ซึ่งเป็นหนึ่งใน 23 ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวของกรมการข้าวที่ทำหน้าที่หลัก ในการผลิตและจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ข้าวชั้นพันธุ์ขยายและชั้นพันธุ์จำหน่าย เพื่อสนับสนุน ส่งเสริม และกระจายเมล็ดพันธุ์ข้าวตามนโยบายคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ในปีงบประมาณ 2558 ที่ผ่านมา ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวพิษณุโลกมีเป้าหมายในการผลิตเมล็ดพันธุ์ดี จำนวน 3,400 ตัน โดยแบ่งการผลิตออกเป็น 2 ช่วง ดังนี้
ช่วงฤดูแล้งปี’58 มีเป้าหมายการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว พันธุ์พิษณุโลก 2 จำนวน 1,100 ตัน มีพื้นที่ในการผลิตจำนวน 1,611 ไร่ เกษตรกรทั้งสิ้น 110 ราย โดยแบ่งเป็นพื้นที่ในอำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก จำนวน 994 ไร่ เกษตรกร 89 ราย และพื้นที่อำเภอวังทอง จำนวน 617 ไร่ เกษตรกร 21 ราย สามารถผลิตเมล็ดพันธุ์ดีได้ จำนวน 1,016 ตัน คิดเป็น 92.36% ของเป้าหมายการผลิตในฤดู และรับซื้อผลผลิตของเกษตรกรในราคา 10.60-11.00 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งซื้อคืนสูงกว่าราคาท้องตลาด โดยเฉลี่ยประมาณ 2-3 บาทต่อกิโลกรัม
ช่วงฤดูฝนปี’58 มีเป้าหมายการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว รวม 2,300 ตัน โดยแบ่งเป็นพันธุ์พิษณุโลก 2 จำนวน 1,800 ตัน และพันธุ์ขาวดอกมะลิ จำนวน 500 ตัน โดยพันธุ์พิษณุโลก 2 มีพื้นที่ในการผลิตจำนวน 2,640 ไร่ เป็นพื้นที่ในจังหวัดพิษณุโลก จำนวน 1,724 ไร่ ในอำเภอพรหมพิราม จำนวน 827 ไร่ เกษตรกร 67 ราย พื้นที่อำเภอวัดโบสถ์ 100 ไร่ เกษตรกร 10 ราย และพื้นที่อำเภอวังทอง จำนวน 797 ไร่ เกษตรกร 34 ราย เป็นพื้นที่ในอำเภอวังทรายพูน จังหวัดพิจิตร จำนวน 916 ไร่ เกษตรกร 33 ราย ขณะนี้อยู่ในช่วงของการเก็บเกี่ยวและจัดซื้อเมล็ดพันธุ์คืนจากเกษตรกร ซึ่งทำการซื้อคืนเสร็จแล้ว ประมาณ 1,300 ตัน ได้เป็นเมล็ดพันธุ์ดี จำนวน 1,250 ตัน คิดเป็น 69.44% ของเป้าหมายการผลิตพันธุ์พิษณุโลก 2 ในฤดูฝน และรับซื้อผลผลิตของเกษตรกรในราคา 10.60-11.00 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งซื้อคืนสูงกว่าราคาท้องตลาด โดยเฉลี่ยประมาณ 2-3 บาทต่อกิโลกรัม สร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรกลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ เป็นเงินทั้งสิ้น 31,438,800 บาท ซึ่งได้รับเงินสูงกว่าการขายเป็นข้าวเปลือกถึง 20% คิดเป็นมูลค่า 6,287,760 บาท
ผลจากการผลิตเมล็ดพันธุ์ดีที่ได้ทำให้มีการกระจายเมล็ดพันธุ์ดีสู่เกษตรกรทั่วไป จำนวน 3,400 ตัน ซึ่งสามารถนำไปปลูกได้ จำนวน 226,666 ไร่ ในอัตราการใช้เมล็ดพันธุ์ 15 กก./ไร่ การใช้เมล็ดพันธุ์ดีของเกษตรกรจะช่วยเพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้แก่เกษตรกรได้ถึง 10% สามารถให้ผลผลิตออกสู่ตลาดจำนวน 156,340 ตัน เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้เมล็ดพันธุ์ทั่วไปได้ผลผลิต จำนวน 142,800 ตัน สร้างรายได้ให้แก่เกษตรกร คิดเป็นมูลค่า 1,094,380,000 บาท (ณ ราคา 7 บาท/กก.) และการใช้เมล็ดพันธุ์ดีทำให้ได้ข้าวที่มีคุณภาพมากขึ้น ซึ่งทำให้ขายได้ในราคาที่ดีกว่าท้องตลาด ก็จะสามารถเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรได้เฉลี่ยอีกประมาณ 1,000 บาท/ตัน คิดเป็นมูลค่า 156,340,000 บาท ทำให้เกษตรกรที่ใช้เมล็ดพันธุ์ดี มีรายได้เพิ่มขึ้นจากเดิม ทั้งสิ้น 251,120,000 บาท หรือเพิ่มขึ้น 25.1%
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี