ป้องสมเด็จช่วง
มีชื่อครองเบนซ์ไม่ผิด
ทนายอ้างแค่รับถวายมา
โบ้ยดีเอสไอเอาผิดพ่อค้า
รถหลวงพี่น้ำฝนยังไม่จบ
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 2 มีนาคม พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ พร้อมเจ้าหน้าที่นิติวิทยาศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญรถยนต์จากัวร์ และผู้เชี่ยวชาญรถแพนเธอร์ ร่วมตรวจพิสูจน์ รถยนต์โบราณ ทะเบียน กก 1177 กรุงเทพมหานคร ที่มีชื่อ พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม อ.เมือง จ.นครปฐม เป็นผู้ครอบครอง ที่ลานจอดรถหน้ากุฏิ ปิติธนสารสมบัติ วัดไผ่ล้อม เพื่อพิสูจน์ทราบว่า เป็นรถยี่ห้อจากัวร์ หรือแพนเธอร์ กันแน่ ภายหลังจากมีกระแสข่าวว่ารถดังกล่าว ไม่อยู่ในสารบบรถยนต์ของจากัวร์ แต่เอกสารนำเข้าที่สำแดงต่อกรมศุลกากรระบุเป็นรถจากัวร์ ซึ่งในขั้นตอนจดประกอบเพื่อชำระภาษีสรรพสามิตระบุเป็นรถแพนเธอร์ และในชั้นจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกระบุเป็นรถจากัวร์วงเล็บแพนเธอร์
ไม่สรุปจากัวร์หรือแพนเธอร์
จากนั้น พ.ต.ต.สุริยา ระบุว่า วันนี้เป็นการตรวจสอบรถคันดังกล่าวเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่า เป็นรถจากัวร์ หรือแพนเธอร์ ต้องรอให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบลงลึกในรายละเอียดทุกมิติ ขณะเดียวกันรายละเอียดที่มีอยู่ยังไม่ขอเปิดเผย พร้อมขอร้องให้ทุกฝ่ายอย่าเพิ่งคาดเดา โดยหลังจากตรวจสอบจนได้ข้อเท็จจริงแล้ว ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ จะแถลงข่าวอย่างเป็นทางการอีกครั้ง พร้อมยืนยันว่าจะเร่งรัดให้เร็วที่สุด ทั้งนี้ การตรวจสอบครั้งแรกมีขึ้นในปี 2556 ในสมัยนายธาริต เพ็งดิษฐ์ เป็นอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยเป็นการตรวจสอบเบื้องต้นเท่านั้น แต่รถบางคันมีลักษณะเฉพาะทางที่การตรวจสอบทางกายภาพยังไม่สามารถบ่งชี้ได้ว่า ถูกต้องหรือไม่ ดังนั้นจึงต้องมาตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง
ผู้เชี่ยวชาญชี้เรียกอะไรก็ได้
ด้าน นายประสงค์ ขาวสะอาด จากบริษัท ซิตี้ ออโต้โมบิล จำกัด ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญรถยนต์จากัวร์ เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นทางกายภาพของรถคันดังกล่าว พบว่าตัวถังเป็นแพนเธอร์ วางเครื่องจากัวร์ รุ่น J731 บล็อก 4.2 ผลิตเมื่อปี ค.ศ.1977 คันที่ 31 ส่วนจะเรียกว่าจากัวร์ แพนเธอร์ หรือ แพนเธอร์ จากัวร์ ก็ได้เช่นกัน ส่วนการจดทะเบียนนั้น กรมการขนส่งทางบกจะระบุว่า แพนเธอร์ จากัวร์ หรือจากัวร์ แพนเธอร์ ก็ตามที เป็นดุลยพินิจของกรมการขนส่ง
หลวงพี่น้ำฝนยันบริสุทธิ์ใจ
ขณะที่ หลวงพี่น้ำฝน กล่าวว่า การตรวจสอบรถของทางดีเอสไอในวันนี้ ถือว่าเสร็จสมบูรณ์เป็นที่เรียบร้อย โดยทางวัดได้ให้ข้อมูลรายชื่อของผู้ที่ดำเนินการจดประกอบไปเเล้ว ซึ่งเป็นหน้าที่ของดีเอสไอในการสืบสวนถึงที่มาของรถต่อไป ทั้งนี้ ขอยืนยันในความบริสุทธิ์ใจ เนื่องจากเป็นรถที่รับมอบจากลูกศิษย์คนหนึ่งที่อยู่ต่างประเทศ โดยมี นายเติมศักดิ์ ปิติธนสารสมบัติ หรือเสี่ยดำ ศิษย์วัดคนสนิท เป็นผู้ดูเเลการนำรถมามอบให้ ขณะเดียวกันยอมรับว่า มีชื่อหลวงพี่น้ำฝน เป็นผู้ครอบครองคนแรก มาจนถึงปัจจุบันเป็นเวลาประมาณ 4 ปีแล้ว พร้อมยืนยันว่า ครอบครองด้วยความบริสุทธิ์ใจและถูกต้อง ส่วนตัวยินดีให้ความร่วมมือกับการตรวจสอบครั้งนี้เพื่อความโปร่งใส ส่วนรายละเอียดยี่ห้อรถตัวถัง หรือการนำเข้านั้น ไม่สามารถทราบได้ เพราะไม่มีความรู้เรื่องนี้
ทนายยื่นDSIแจงเบนซ์เถื่อน
วันเดียวกัน นายสมศักดิ์ โตรักษา ฝ่ายกฎหมายวัดปากน้ำภาษีเจริญ และ นายสุรพงษ์ สิทธิกรณ์ ผู้รับมอบอำนาจจากพระมหาศาสนมุนี หรือ หลวงพี่แป๊ะ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ และเลขานุการสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์(ช่วง วรปุญฺโญ) หรือสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เข้ายื่นหนังสือพร้อมหลักฐานประกอบการชี้แจงกรณีรถเบนซ์จดประกอบเลี่ยงภาษีทะเบียน ขม.99 กรุงเทพมหานคร ที่มีชื่อของสมเด็จช่วงเป็นผู้ครอบครอง โดยนายสมศักดิ์ กล่าวว่า จากหลักฐานที่มีทั้งหมดสมเด็จช่วงบริสุทธิ์แน่นอน วัดปากน้ำฯมีวัตถุประสงค์ทำพิพิธภัณฑ์มานานแล้ว จากนั้นก็มีพุทธศาสนิกชนรวบรวมเงินมาบริจาค ซึ่งมีทั้งการบริจาคเป็นสิ่งของเพื่อนำไปเก็บไว้ที่มหาเจดีย์มหารัชมงคล ส่วนรถคันดังกล่าวผู้มีจิตศรัทธาบริจาคเพื่อถวายในนามสมเด็จช่วง มีการนำเอกสารมาให้ลงนาม จึงปรากฏชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ซึ่งลายเซ็นที่พบในขั้นตอนการจดทะเบียนเป็นของสมเด็จช่วงจริง
มีชื่อสมเด็จช่วงแค่ใช้เสียภาษี
นายสมศักด์ กล่าวว่า รถคันดังกล่าวไม่มีการนำไปใช้งานจริง เป็นเพียงการนำมาจัดแสดงให้ประชาชนได้ชม โดยได้รับบริจาคตั้งแต่ปี 2554 แต่ต่อมา เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2556 ได้มีการแจ้งไม่ใช้รถถาวร ทั้งนี้ เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นก็ต้องส่งคืนผู้บริจาค เมื่อนำรถคืนไปที่ผู้บริจาคแล้วก็ต้องไปดำเนินคดีกับผู้ขาย ซึ่งขณะนี้มีการฟ้องร้องคดีกับศาลจังหวัดตลิ่งชันแล้ว เมื่อถามย้ำว่าคืนให้กับผู้บริจาคคนใด นายสมศักดิ์กลับเลี่ยงที่จะตอบ แต่ย้ำว่าข้อเท็จจริงทั้งหมดวันนี้เป็นการพิสูจน์ว่าสมเด็จช่วงไม่รู้ ไม่เห็น ไม่เกี่ยวข้อง ส่วนที่ยังมีชื่อสมเด็จช่วงครอบครองอยู่ ก็เพียงแค่ใช้เป็นหลักฐานการเสียภาษีเท่านั้น
ทนายอ้างพระเป็นเหยื่อขายรถ
ด้าน นายสุรพงษ์ กล่าวชี้แจงในส่วนของหลวงพี่แป๊ะว่า รถดังกล่าวซื้อมาจากนายวิชาญ รัษฐปานะ เจ้าของอู่วิชาญ ซึ่งเหตุที่ซื้อเพราะผู้มีจิตศรัทธาตั้งใจบริจาคจึงต้องการซื้อจากผู้ที่มีความรู้เรื่องรถโบราณ ซึ่งนายวิชาญเป็นกรรมการชมรมรถโบราณแห่งประเทศไทย ถือว่ามีความชำนาญ ไม่ได้เป็นการขายคนแค่คันเดียวแต่ขายมาแล้วหลายคัน นอกจากนี้พระไม่ได้ไม่ได้มีความรู้เรื่องรถ แต่เป็นเหยื่อการขายรถ โดยไม่ทราบว่ารถดังกล่าวมีความเป็นมาอย่างไร รถจะถูกต้องหรือไม่เป็นหน้าที่ของผู้ขาย ในสัญญาซื้อขายระบุไว้ชัดเจนว่าการซื้อขายต้องจดทะเบียนเสียภาษีถูกต้อง และไม่ได้เป็นการซื้อที่ราคาต่ำกว่าความเป็นจริง เพราะซื้อในราคา 4 ล้านบาท
โบ้ยให้ไปดำเนินคดีกับคนขาย
“รถคันนี้มีการจดทะเบียนอย่างถูกต้องโดยกรมการขนส่งทางบก ทำให้เชื่อโดยสุจริตว่าเป็นรถที่ชอบด้วยกฎหมาย หากกระบวนการของรถไม่ถูกต้องควรไปดำเนินคดีกับคนขายไม่ใช่ผู้บริโภค หลวงพี่แป๊ะเป็นพระไม่ใช่อู่ประกอบรถ ส่วนที่อู่วิชาญยืนยันว่าพระเป็นผู้จัดหาอะไหล่ให้นั้น อู่จะยืนยันอย่างไรก็ได้”ทนายผู้รับมอบอำนาจกล่าว
จดทะเบียนวันเกิดสมเด็จช่วง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการชี้แจงวันนี้ฝ่ายกฎหมายวัดปากน้ำฯได้นำหลักฐานบางส่วนมาชี้แจงกับสื่อมวลชน อาทิ ด้วยสำเนาใบคู่มือจดทะเบียน เอกสารการขอยกเลิกใช้รถ รายงานการจดทะเบียน ใบสั่งซ่อมของอู่วิชาญ และมีชื่อของ หลวงพี่แป๊ะ เป็นผู้สั่งซ่อม เมื่อปี 2554 วงเงิน 4 ล้านบาท พร้อมลงชื่อเป็นเจ้าของรถ โดยรายละเอียดในส่งซ่อมระบุว่าจ่ายเงินค่ามัดจำซื้อรถ 1 ล้านบาท ในวันที่ 14 ธันวาคม 2553 ตกลงซื้อกับ นางจริยา รัษฐปานะ งวดที่ 2 เป็นเงิน 1.5 ล้านบาท จ่ายเมื่อได้รับเอกสารทะเบียนพร้อมโอน ค่าซ่อม 1.5 ล้านบาท จ่ายเมื่อเริ่มซ่อม,ซื้ออะไหล่เป็นงวดๆ จนเสร็จ นอกจากนี้ยังได้นำภาพถ่ายสถานที่เก็บรถพร้อมถ่ายภาพรถยนต์ที่เป็นปัญหาและประสงค์ส่งคืนผู้บริจาค ซึ่งจากภาพถ่ายพบว่ารถคันดังกล่าวยังจอดอยู่ในตำแหน่งเดิม ส่วนรายการจดทะเบียนรถยนต์ของสมเด็จช่วงพบว่าวันที่จดทะเบียนเป็นผู้ครอบครองรถ คือ วันที่ 26 สิงหาคม 2554 ตรงกับวันเกิดของสมเด็จช่วงคือวันที่ 26 สิงหาคม 2468
‘สุวพันธ์’ยันไม่เปลี่ยนจุดยืน
ด้าน นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์หลังเข้าหารือกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กว่า 1 ชม.ว่า ไม่ได้พูดคุยเรื่องพระสงฆ์ที่มีการเคลื่อนไหว โดยเฉพาะการขึ้นป้ายสนับสนุนให้ดำเนินการตามมติของมหาเถรสมาคม (มส.) อย่างไรก็ตาม ตนเคารพในความคิดเห็นของคณะสงฆ์ที่กำลังเคลื่อนไหวในขณะนี้ แต่ในฐานะที่รับผิดชอบเรื่องดังกล่าวก็ยังไม่มีความคิดที่จะไม่เคารพหรือไปเปลี่ยนแปลงมติของ มส. เพราะฉะนั้นป้ายจะขึ้นหรือไม่ขึ้น ก็ไม่เปลี่ยนแปลงจุดยืน เพียงแต่อยากให้ทุกเรื่องมีความกระจ่างและชัดเจนแค่นั้น จึงอยากเรียนให้คณะสงฆ์ได้สบายใจ
เริ่มเดินสายพูดคุยทุกฝ่ายแล้ว
เมื่อถามว่า จะมีการเข้าพบกับ มส. เพื่อพูดคุยเรื่องดังกล่าวหรือไม่ นายสุวพันธุ์ กล่าวว่า ได้พูดคุยมาแล้ว ส่วนการเดินสายพบปะพูดคุยกับพระสงฆ์ทุกฝ่ายนั้น ก็ได้ดำเนินการไปบ้างแล้วเช่นกัน ทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยหรือเห็นต่าง และเชื่อว่าทุกฝ่ายมีความเข้าใจ รัฐบาลยืนยันในจุดยืน ซึ่งมีความชัดเจนมาโดยตลอด เพราะฉะนั้นความเคลื่อนไหวต่างๆ ในตอนนี้ไม่ใช่แรงกดดัน แต่ยอมรับว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นมันมีหลายเรื่องอยู่แล้ว แต่ละคนก็ควรคิดให้รอบด้าน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี