ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้กำหนดนโยบายให้ปี 2559 เป็นปีแห่งการลดต้นทุนการผลิตภาคเกษตรและเพิ่มโอกาสในการแข่งขัน โดยมีแนวทางการขับเคลื่อน 4 ด้าน คือ การลดต้นทุน การเพิ่มผลผลิต การบริหารจัดการ และการตลาด ซึ่งทางคณะทำงานลดต้นทุนและเพิ่มโอกาสในการแข่งขันสินค้าเกษตรได้มีการดำเนินงานผ่านคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แบบเบ็ดเสร็จ (Single Command) โดยให้แต่ละหน่วยงานนำผลการดำเนินงานบูรณาการเข้าสู่ระบบเกษตรแปลงใหญ่ เพื่อการปฏิรูปภาคเกษตรของไทยสู่ความมั่นคงและยั่งยืนในรูปแบบประชารัฐ
พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า โดยการทำเกษตรกรรมแปลงใหญ่ที่จะดำเนินการใน 76 จังหวัด มีจำนวนทั้งสิ้น 268 แปลง พื้นที่รวม 662,669 ไร่ มีเกษตรกรในโครงการ 29,169 ครัวเรือนเป็นแปลงที่เริ่มดำเนินการในปี 2559 จำนวน 31 แปลง โดยแปลงใหญ่ทั้งหมดมีสินค้า 31 สินค้า แบ่งเป็น ข้าว 142 แปลง พืชไร่ 38 แปลง ปาล์มน้ำมัน/ยางพารา 15 แปลง ไม้ผล 37 แปลง ปศุสัตว์ 12 แปลง ประมง 9 แปลง ที่เหลือเป็นพืชผัก สมุนไพร ไม้ดอกไม้ประดับและหม่อนไหม มีการคัดเลือกเป็นแปลงใหญ่ต้นแบบ จังหวัดละ 1 แปลง รวม 76 แปลง จึงเหลือแปลงที่ไม่ได้คัดเลือกเข้ามาเป็นแปลงใหญ่ต้นแบบอยู่ 192 แปลง ซึ่งการดำเนินการแปลงใหญ่ในขณะนี้ในบางพื้นที่ของแต่ละจังหวัดนั้นสามารถดำเนินการและเป็นแปลงต้นแบบได้อย่างสมบูรณ์แล้ว อย่างเช่น การดำเนินงานแปลงใหญ่ต้นแบบสับปะรดบ้านคา จังหวัดราชบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่ปลูกสับปะรดพันธุ์ปัตตาเวีย หรือสับปะรดบ้านคา เป็นแหล่งปลูกสับปะรดขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียง พร้อมกับเป็นแปลงใหญ่ต้นแบบสับปะรด โดยมีจำนวนสมาชิก 82 ราย มีแปลงย่อย 89 แปลง พื้นที่ 1,014 ไร่
โดยพื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่ที่เรียกว่า S1 ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ไม่มีความเหมาะสมในการปลูกพืช แต่ในปัจจุบันมีหน่วยงานในสังกัดของกระทรวงเกษตรฯเข้ามาให้ความช่วยเหลือ โดยทางด้านกรมพัฒนาที่ดินเข้ามาปรับปรุงบำรุงดินให้ ในขณะเดียวกัน กรมวิชาการเกษตรก็ได้เข้ามาช่วยส่งเสริมในเรื่องของการใช้ปุ๋ย การใช้ยาฆ่าแมลงอย่างถูกต้อง ทางกรมส่งเสริมสหกรณ์ก็เข้าช่วยมาบริหารจัดการในการทำเกษตรแปลงใหญ่ โดยจากที่เมื่อก่อนผลผลิตที่ได้ออกมานั้นไม่ค่อยได้มาตรฐานและผลผลิตทั้งหมดจะถูกส่งไปที่โรงงานเป็นหลัก อีกทั้งการปลูกสับปะรดของเกษตรกรก็มีต้นทุนการผลิตที่สูง แต่หลังจากที่รัฐบาลมีโครงการแปลงใหญ่ และผู้นำกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกสับปะรดก็ได้เอานโยบายเรื่องของแปลงใหญ่มาใช้กับการทำเกษตร ซึ่งได้เปลี่ยนวิธีการผลิตจากรูปแบบเดิม โดยมีการกำหนดแนวทางการผลิตใหม่ จากเดิมที่จะส่งผลผลิตให้กับโรงงานทั้งหมด เปลี่ยนเป็นการส่งเข้าโรงงานบางส่วน และคัดเลือกสับปะรดสดที่สวยและมีคุณภาพออกขายตามแหล่งท่องเที่ยวและกระจายในหลายพื้นที่แทน ซึ่งสามารถการันตีได้ว่าสับปะรดบ้านคาเป็นสับปะรดที่ดีที่สุดในภาคตะวันตก
วิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข
นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวว่า โดยแปลงสับปะรดที่ ต.หนองพันจันทร์ อ.บ้านคา จ.ราชบุรี เป็นการตอบสนองนโยบายกระทรวงเกษตรปี 2559 โดยกลุ่มผู้ปลูกสับปะรดจะมุ่งเน้นการผลิตสับปะรดให้ได้คุณภาพ ตั้งแต่การผลิตจนถึงการตลาด โดยลดต้นทุนการผลิตด้วยวิธีการผลิตที่เหมาะสม การใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน ใช้หน่อพันธุ์และจุกพันธุ์คุณภาพดี คัดขนาดหน่อพันธุ์และจุกพันธุ์ จำนวนต้นพันธุ์ปลูกที่เหมาะสมและการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ใช้เอง ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตลดลงร้อยละ 38.5จากต้นทุนเดิม 6.50 บาทต่อกิโลกรัม ลดลงเหลือ 4.00 บาทต่อกิโลกรับ มีการเพิ่มผลผลิตด้วยระบบให้น้ำแบบสปริงเกอร์และระบบน้ำพุ่ง ในพื้นที่ 500 ไร่ และเพิ่มจำนวนการปลูกต้นสับปะรดต่อไร่ จากเดิมปลูกสับปะรด 7,500 ต้นต่อไร่ เพิ่มเป็น 10,000 ต้นต่อไร่ ทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 66.7 ที่จากเดิมนั้นมีผลผลิตเดิม 4.8 ตันต่อไร่ เพิ่มขึ้นเป็น 8 ตันต่อไร่ ส่งเสริมการแปรรูป และใช้บรรจุภัณฑ์เพื่อเพิ่มมูลค่า ใช้สติ๊กเกอร์ตราสินค้าสับปะรดบ้านคา รวมทั้งประยุกต์ใช้แนวทางเกษตรผสมผสานตามแนวทฤษฎีใหม่และการทำบัญชีครัวเรือน ปัจจุบันได้รับการรับรองคุณภาพมาตรฐาน GAP และอยู่ระหว่างดำเนินการขอขึ้นทะเบียนเป็นสินค้า GI
ทั้งนี้ กรมส่งเสริมสหกรณ์ได้เข้ามาให้ส่งเสริม 3 ด้านหลัก คือ 1.การรวมกลุ่ม โดยการให้ความรู้เรื่องกระบวนการกลุ่ม เพื่อให้ดำเนินการได้อย่างถูกหลักถูกวิธีการและมีความเข้มแข็ง / 2. ของเงินทุน ซึ่งกรมส่งเสริมสหกรณ์จะเข้ามาดูแลกลุ่มที่มีการจัดตั้งดำเนินการตามนโยบายของกระทรวงฯ แบ่งออกเป็น 2 เรื่อง คือ ส่งเสริมเงินทุนในการดำเนินการของกลุ่ม โดยในส่วนนี้ทางรัฐบาลได้อนุมัติวงเงินให้กับกลุ่มเกษตรกร 1 พันล้านบาท ซึ่งกลุ่มเกษตรกรจะต้องผ่านมาตรฐานในการประเมิน 2.การสำรองแหล่งน้ำ กรมส่งเสริมได้รับวงเงินอนุมัติจาก ครม.วงเงิน 300 ล้านบาท ซึ่งได้มาจากเงินกองทุนส่งเคราะห์เกษตรกร โดยจะให้เกษตรกรในสถาบันได้กู้ผ่านสถาบันเพื่อจะขุดแหล่งน้ำ อย่างเช่น บ่อน้ำ เป็นพื้นที่กว้าง 1 ไร่ ลึก 2 เมตร เพื่อจะเป็นแหล่งน้ำในการดำเนินการเกษตร / และ ด้านที่ 3.จักรกลทางการเกษตร โดยในส่วนนี้กรมส่งเสริมสหกรณ์จะสนับสนุนให้กับสถาบันการรวมกลุ่ม ได้กู้ยืมกับทาง ธ.ก.ส.ที่มีวงเงินทั้งหมด 2,879 ล้านบาท ในอัตราดอกเบี้ย 2% เพื่อจัดหาเครื่องมือทางการเกษตร
นายวิณะโรจน์ กล่าวอีกว่า ในด้านการส่งเสริมเรื่องของเครื่องจักรกลทางการเกษตรกรกรมฯมีแนวคิดที่จะประสานงานกับสถาบันวิชาการของมหาวิทยาลัยที่ได้มีการวิจัยในเรื่องของเครื่องมือการทำการเกษตร โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับสับปะรด เพื่อให้ลองนำเอาเครื่องมือมาทดสอบใช้ในพื้นที่แห่งนี้เพื่อดูความเหมาะสมซึ่งถ้าหากเป็นเครื่องมือที่ใช้แล้วมีประสิทธิภาพก็จะดำเนินการขับเคลื่อนต่อเพื่อให้เกษตรกรได้รับเครื่องมือ เครื่องจักรกลที่ดีเพื่อช่วยในการลดต้นทุน
จันทร์ เรืองเรรา
ด้าน นายจันทร์ เรืองเรรา เกษตรกรผู้ปลูกสับปะรด ต.หนองพันจันทร์ อ.บ้านคา จ.ราชบุรี กล่าวว่า การรวมตัวกันเป็นกลุ่มสามารถสร้างประโยชน์ได้ 3 ด้านหลัก คือ 1.สามารถกำหนดจุดรับซื้อสินค้าและราคาได้ตามที่ต้องการ อีกทั้งยังสามารถวางแผนการผลิตเพื่อรองรับความต้องการของพ่อค้าแม่ค้าได้ 2.สามารถต่อรองราคาในการซื้อปัจจัยการผลิตได้ ไม่ว่าจะเป็น ปุ๋ยและสารเคมีต่างๆ และ 3.ทำให้เกิดความรักความสามัคคีในหมู่คณะ พร้อมทั้งมีการแบ่งปั่นข้อมูลเพื่อช่วยแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น ซึ่งในปัจจุบันกลุ่มของเรามีเกษตรกรทั้งสิ้น 89 คน และพร้อมที่จะเพิ่มสมาชิกเข้ามาอีก นอกจากนี้ คาดว่าจะมีการจัดตั้งเป็นสหกรณ์ภายในสิ้นปีนี้ เพื่อจะดำเนินการในเรื่องของการจัดตั้งเป็นกองทุนหรือหาแหล่งเงินทุนต่างๆแต่จะต้องมีการพูดคุยกันภายในกลุ่มอีกครั้งหนึ่งเพื่อหาข้อสรุป นอกจากนี้ทางกลุ่มได้มีแนวคิดที่จะขอ GI ให้กับสับปะรดบ้านคา เพื่อกำหนดตัวสินค้าซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของที่นี้โดยเฉพาะ เนื่องจากสับปะรดของที่นี้มีรสชาติหวาน อร่อย หรือที่เรียกว่า “ไม่หวานจัดไม่กัดลิ้น” เป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นที่ดีของสับปะรดที่นี้
เห็นได้ว่าการทำแปลงใหญ่ประชารัฐของที่นี่ เป็นอีกหนึ่งแบบอย่างที่ดีในการส่งเสริมให้เกษตรกรเกิดการรวมกลุ่ม เนื่องจากช่วยสร้างความเป็นอยู่และมีรายได้ที่ดีขึ้นแล้ว ชุมชนยังมีความเข้มแข็ง เกษตรกรมีรายจ่ายลดลงและมีแนวทางการตลาดที่ดีอีกด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี