ณ โรงพยาบาลศิริราช หลังจากในหลวงเสด็จสวรรคต
วันนี้ดูเงียบเหงากว่าทุกที หลังจากที่พ่อหลวง ผู้เป็นที่รักของปวงชาวไทยเสด็จสวรรคต ที่แห่งนี้ก็เปลี่ยนไป จากที่เราเคยเห็นข้าราชบริพาร ทหาร ตำรวจ ยืนประจำจุดทั่วทุกพื้นที่ของโรงพยาบาลศิริราช ผู้คนที่หลั่งไหลมาส่งกำลังใจให้พ่อหลวงหน้าอาคารศาลาศิริราช 100 ปี เพราะเป็นจุดที่สามารถมองเห็น ชั้น 16 อาคารเฉลิมพระเกียรติ “ที่ประทับ” ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้ชัดที่สุด แต่วันนี้บรรยากาศแบบนั้น....“ไม่มีอีกแล้ว”
นี่ก็เป็นระยะเวลากว่า 23 วันแล้วที่พ่อหลวงรัชกาลที่ 9 สวรรคต แต่ “ความทรงจำ” ในศิริราชยังคงอยู่
“สกู๊ปแนวหน้า” ได้มีโอกาส ไปโรงพยาบาลศิริราช เพื่อไปตามรอย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ครั้งยังทรงประทับรักษาพระอาการประชวรและพักผ่อนพระอิริยาบท ว่าพระองค์เคยเสด็จพระราชดำเนินไปยังบริเวณใดของโรงพยาบาลศิริราชบ้าง โดยเริ่มจาก...
ลานพระราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก
เป็นที่ทราบกันดีว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นต้นแบบ “ความกตัญญู” เพราะหลายต่อหลายครั้งที่เราติดตามข่าวตามหน้าสื่อต่างๆ โดยเฉพาะ “ข่าวในพระราชสำนัก” ที่เราจะเห็นพระองค์ เสด็จฯ มาทรงสักการะ พระราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และสักการะพระรูปหล่อ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่ประดิษฐาน ณ ศาลาศิริราช 100 ปี ก่อนเสด็จฯ ไปที่อื่นทุกครั้ง
โดยเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2555 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จฯ ลงจากที่ประทับรักษาพระอาการประชวร ชั้น 16 อาคารเฉลิมพระเกียรติ เพื่อทรงวางพวงมาลาถวายสักการะหน้าพระราชานุสาวรีย์ฯ จากนั้นได้เสด็จฯ ไปยังศาลาศิริราช 100 ปี และทรงวางพวงมาลาถวายสักการะรูปหล่อสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
เภสัชกรชำนาญการ ผู้เคยถวายการรับใช้ในหลวง ของ โรงพยาบาลศิริราชท่านหนึ่ง ถ่ายทอดเรื่องราวความรู้สึกประทับใจในครั้งนั้นว่า...
“เป็นบุญเหลือเกินที่ได้ถวายงานรับใช้ในหลวง โดยหน้าที่ของตนนั้นจะต้องตรวจสอบการจัดจ่ายยาให้ถูกต้องครบถ้วน โดยเริ่มตั้งแต่ดูขนาดยา ,ข้อบ่งใช้ และคอยดูว่ามียาตีกันหรือไม่ ถึงแม้เราจะมั่นใจอยู่แล้ว แต่เราก็ย้ำคิดย้ำทำเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด ซึ่งมันคือหน้าที่ของเรานั้นที่จะต้องมีความละเอียด รอบคอบ”
ตลอดระยะเวลา 10 กว่าปีที่ทำงานมาก็จะเห็นข้าราชบริพารของพระองค์ท่านเดินเข้า-ออก และประจำจุดต่างๆ ทั่ว โรงพยาบาลศิริราช ทำให้รู้สึกอุ่นใจเสมือนกับเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวไปแล้ว แต่ความรู้สึกนี้ก็หายไปหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จสวรรคต จากที่เคยมีพวกเขาเหล่านี้อยู่ก็กลายเป็นความว่างเปล่า เงียบเหงาหวนระลึกถึงวันเก่าๆ เภสัชกรฯ เล่าด้วยสีหน้าเศร้าหมองแววตาแดงกล่ำ
จากนั้นทีมข่าวก็เดินไปยัง “ต้นศรีตรัง”...ต้นไม้ของพ่อ
ที่ทรงปลูกไว้บริเวณสนามหญ้าด้านซ้ายและด้านขวาของลานพระราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก จำนวน 2 ต้น เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2554 จากนั้นเป็นต้นมาพระองค์ได้เสด็จฯ ออกจากห้องประทับ ชั้น 16 เพื่อมาทอดพระเนตรต้นศรีตรังทั้งสองอยู่บ่อยครั้ง
ผู้สื่อข่าวจึงได้เดินทางไปดู “ต้นศรีตรัง” นั้นด้วยตาตนเอง แต่ต้อง “ตกใจ” เมื่อพบว่า ต้นศรีตรังทางด้านอาคารเฉลิมพระเกียรติ ลำต้นแห้งแตก ใบร่วงโรยหมดต้น คล้ายกับรอวันตาย ต่างจากอีกต้นหนึ่งที่แผ่กิ่งก้านออกไป มีใบเขียวชะอุ่มลู่ลมพริ้วไหวไปมา ทางผู้สื่อข่าวเห็นความผิดปกติของต้นศรีตรังต้นแรกจึงถ่ายรูปส่งไปให้ นางอำนวยพร ชลดำรงค์กุล ผู้ตรวจราชการกรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เพื่อสอบถามว่าต้นศรีตรังต้นแรก “ยืนต้นตายแล้วหรือไม่” แต่ไม่นานก็มี “ทีมรุขกรป่าไม้” นำโดย ดร.คงศักดิ์ มีแก้ว (หมอต้นไม้) จากกรมป่าไม้เข้ามาดูแล พร้อมกับบอกให้ประชาชนไม่ต้องเป็นกังวลว่า...
“ต้นศรีตรังไม่ได้ยืนต้นตายอย่างที่แชร์กันในโลกโซเชียล แต่เกิดโรคเชื้อรา หากปล่อยไว้นานเกินกว่านี้อาจจะตายได้ ทีมรุกขกร จึงทำการเร่งฟื้นฟูส่วนรากที่เกิดเชื้อราเป็นลำดับแรก โดยเปลี่ยนดินผสมปุ๋ย ทายากันเชื้อราที่กิ่งและลำต้น คลุมแสลนกันแดด พร้อมทั้งต่อท่อเพื่อให้น้ำซึมไหลผ่านได้ง่าย ไม่ให้มีความชื้นมาก ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาติดตามดูแล 1 เดือน” หมอต้นไม้ ระบุ
พอช่วงบ่ายมีฝนตกลงมาอย่างหนัก ทีมข่าวจึงวิ่งไปหลบฝนใต้อาคารของโรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ โชคดีตรงที่เป็นสถานที่ที่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เคยเสด็จฯ ทอดพระเนตรทัศนียภาพริมแม่น้ำเจ้าพระยาพอดี ผู้สื่อข่าวไม่รอช้ารีบกดลิฟต์ขึ้นไปชั้น 7 ทันที พอออกจากลิฟต์ภาพที่ปรากฎบนสายตาของเราคือ...“ภาพวิวแม่น้ำเจ้าพระยา 180 องศา”
ด้านซ้ายมองเห็นสะพานพระปิ่นเกล้า ด้านหน้ามองเห็นโรงละครแห่งชาติและมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ด้านขวาเป็นวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร หากมองเบื้องล่างจะเห็นแม่น้ำเจ้าพระยากั้นกลางอยู่ระหว่างธนบุรีกับพระนคร
ซึ่งเจ้าหน้าที่ประจำชั้น 7 โรงพยาบาลศิริราชปิยมหาการุณย์ บอกกับทีมข่าวว่า ทุกครั้งที่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จฯ มา ณ ที่แห่งนี้ พระองค์ทรงใช้เวลาประมาณ 30 นาทีประทับพักพระราชอิริยาบถ โดยมีผู้ติดตามไม่กี่ท่านคอยถวายรายงานต่างๆ แด่พระองค์ท่าน จากนั้นจึงเสด็จฯ กลับที่ประทับชั้น 16 อาคารเฉลิมพระเกียรติโรงพยาบาลศิริราช
“ทุกคนสามารถขึ้นมาใช้ชั้น 7 กันได้ทุกคน ปัจจุบันก็มีนักศึกษาแพทย์เข้ามาที่ “โถงสหัสธารา” แห่งนี้เพื่อติวหนังสือ หรือพักผ่อนสมองกัน นอกจากนั้น ยังเป็นสถานที่ที่ญาตินั่งรอผู้ป่วยอีกด้วย แต่มีข้อห้ามอยู่ 2 ข้อ คือ ไม่ให้นอนหรือยกขาขึ้นพาดโต๊ะ/โซฟา” เจ้าหน้าที่ประจำชั้น 7 กล่าว
จากนั้นทีมข่าวก็เดินต่อไปยังอาคารปิยมหาราชการุณย์ ชั้น B1 ก็พบกับ โกลเด้น เพลส (Golden Place) “ขุมทรัพย์โครงการหลวง” ที่รวบรวมผลิตภัณฑ์ต่างๆของโครงการหลวงเอาไว้ที่นี่ ภายในร้านฯ ยังมีสินค้าอื่นๆอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสินค้าเกษตรแปรรูป ,ผลิตภัณฑ์จากโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา ,ผลิตภัณฑ์จากโครงการตามพระราชดำริ ไม่เพียงเท่านี้หากเจ็บป่วยต้องการยาสมุนไพร ที่นี่ก็มีทุกตัวยาส่งตรงจากโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของสุดยอดการรักษาด้วยแพทย์แผนไทย
เมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ.2558 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จฯ ประทับรถพระที่นั่งไปยังร้านโกลเด้นเพลซ ชั้นบี โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาการุณย์ หลายครั้งที่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จฯ โดยรถพระที่นั่งมายังร้านโกลเด้น เพลส พระองค์จะทรงเลือกซื้อผลิตภัณฑ์จากโครงการหลวงดอยคำ ผักจากกลุ่มแม่บ้านเกษตร และจากโครงการชั่งหัวมันตามพระราชดำริ ซึ่งเป็นผักปลอดสารพิษ อาทิ แอปเปิ้ล กีวี แอปเปิ้ลไซเดอร์ อินทผาลัมอบแห้ง ไอศกรีม เป็นต้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี