เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ชาวนาเกลือได้เข้ามาร้องเรียนกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กฤษฎา บุญราช ถึงกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เลยทีเดียว ข้อที่ชาวนาเกลือมาขอใหกระทรวงเกษตรฯ ช่วยเหลือมีอยู่ 4 ข้อ คือ 1.การแก้ไขปัญหาหนี้สินของชาวนาเกลือ 2.พัฒนาสินค้าเกลือทะเลทั้งระบบ และขอให้มีหน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลการทำนาเกลือที่ชัดเจน 3.การนำเข้าเกลือจากต่างประเทศ ทำให้เกลือในประเทศราคาตกต่ำ และ 4.การสนับสนุนกองทุนหมุนเวียนของสหกรณ์เกลือทะเล และหาช่องทางการตลาด
ชาวนาเกลือที่มาเยือนกระทรวงเกษตรฯนี้ เป็นผู้แทนของสมาพันธ์ชาวนาเกลือทะเลไทย ที่มีสมาชิกเป็นชาวนาเกลือของ 3 จังหวัด คือ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม และเพชรบุรี รวมสมาชิกกว่า 1,000 ราย พื้นที่ทำนาเกลือประมาณ 62,000 ไร่
เรื่องหนี้สิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ มอบให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ไปดำเนินการ เรื่องการนำเข้าเกลือจากต่างประเทศ รับปากว่าจะไปคุยกับกระทรวงพาณิชย์ให้ เรื่องการตลาดเกลือ มอบให้กรมฝนหลวงและการบินเกษตรพิจารณาซื้อเกลือจากเกษตรกรมาใช้ในการทำฝนหลวง
ส่วนเรื่องการพัฒนาสินค้าเกลือทั้งระบบนั้น ในพ.ร.บ.มาตรฐานสินค้าเกษตรยังไม่ได้ระบุว่า “เกลือทะเล” เป็นสินค้าเกษตร สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ หรือ มกอช. จึงยังจัดทำมาตรฐานสินค้าเกลือทะเลไม่ได้ ต้องส่งให้กฤษฎีกาตีความเสียก่อน สำหรับหน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการทำนาเกลือโดยตรงยังไม่ได้ระบุ แต่ปัจจุบันนี้มีกรมส่งเสริมสหกรณ์ดูแลสหกรณ์ชาวนาเกลืออยู่
มาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ วิวัฒน์ ศัลยกำธร รับลูกต่อ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสหกรณ์การเกษตรเกลือทะเลไทยเพชรบุรี จำกัด ที่จังหวัดเพชรบุรี พร้อมกับโปรยยาหอมว่า กระทรวงเกษตรฯ มีนโยบายที่จะพัฒนาและยกมาตรฐานการผลิตเกลือไทยให้เป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญ เป็นที่รู้จักและเป็นที่ต้องการในตลาดโลกอย่างถาวร
วิธีการคือ จะลดต้นทุนการผลิต และจัดทำมาตรฐานสินค้าเกลือทะเล มีการแปรรูปเกลือให้นำไปใช้ประโยชน์ในด้านอื่นๆ เช่น การทำฝนหลวง ของอธิบดี สุรสีห์ กิตติมณฑลพร้อมกับบอกให้สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตรของ ผู้อำนวยการสำนักฯ พรรณพิมล ชัญญานุวัตร ทำการศึกษาวิจัยการพัฒนาเกลือทะเลเพื่อนำไปใช้ประโยชน์อื่นๆ ให้กว้างขวาง รวมทั้งจะส่งเสริมยกระดับสหกรณ์นาเกลือให้เกิดความเข้มแข็ง
ยาหอม หอมฟุ้ง ดูมีความหวัง.... แต่การดำเนินงานคงไม่ได้ง่ายเหมือนที่พูดหรือให้สัญญิงสัญญาเอาไว้เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาไม่มีหน่วยงานใดรับผิดชอบดูแลการทำนาเกลือ จนกระทั่งวันที่ 1 มีนาคม 2554 ครม.ได้มีมติเห็นชอบตามที่คณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์เสนอ ให้ถือว่าการทำนาเกลือทะเล เป็นอาชีพการเกษตร และให้ถือว่าชาวนาเกลือเป็นเกษตรกร ซึ่งก่อนหน้านี้กำหนดให้การทำนาเกลือเป็นกิจกรรมประเภทการทำเหมืองหินและเหมืองแร่ ซึ่งไม่เข้าข่ายที่คณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร หรือ คชก. จะช่วยเหลือชาวนาเกลือในกรณีที่ได้รับความเดือดร้อนได้
เมื่อชาวนาเกลือเป็นเกษตรกร กระทรวงเกษตรฯ จึงมอบให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ดูแลชาวนาเกลือ และเมื่อปลายปี 2559 กระทรวงเกษตรฯ โดยเกษตรและสหกรณ์จังหวัด ก็เป็นเจ้าภาพจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นร่างยุทธศาสตร์เกลือทะเล พ.ศ. 2560 - 2564 ขึ้น ซึ่งร่างยุทธศาสตร์ดังกล่าวเป็นแผนพัฒนาเกลือทะเลของจังหวัดเพชรบุรี สมุทรสงคราม และสมุทรสาคร
สิ่งที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ วิวัฒน์ ศัลยกำธร ว่าเป็นนโยบายของกระทรวงเกษตรฯนั้น ปรากฏอยู่ในกลยุทธ์ที่จะดำเนินการตามยุทธศาสตร์ที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด
ไม่ต้องถึงกับช่วยให้เกลือเป็นสินค้าส่งออก ถ้าจะช่วยเหลือชาวนาเกลือจริงๆ กระทรวงเกษตรฯ น่าจะพิจารณาขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ดังกล่าวให้บรรลุผล ยังมีเวลาอีก 4 ปี น่าจะเห็นหน้าเห็นหลังบ้าง ซึ่งยังมีกลยุทธ์ที่น่าสนใจอีกหลายประการในยุทธศาสตร์นั้น เช่น พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร การเสนอร่างพ.ร.บ. เกลือทะเลเพื่อคุ้มครองชาวนาเกลือ การบริหารจัดการฐานข้อมูลเกลือทะเลด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นต้น
เกลือ...คือวิถีชีวิต เศรษฐกิจ และสุขภาพ (ไอโอดีน)...อย่าคิดว่าเกลือไม่สำคัญนะจะบอกให้....
แว่นขยาย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี