ในการประชุมครม.สัญจรที่จ.เพชรบูรณ์ เดือนที่แล้ว 18 ก.ย.ที่ผ่านมา ได้อนุมัติโครงการสำคัญที่น่าสนใจยิ่งคือ อนุมัติหลักการให้จัดทำ“โครงการชุมชนไม้มีค่า” โดยจะสนับสนุนให้เกษตรกรปลูกไม้มีค่า ที่ใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้หรือเป็นทรัพย์สินส่วนตัวที่ปลูกและตัดขายได้ถูกต้องตามกฎหมาย อันจะมีผลทั้งสร้างรายได้เพิ่ม ตลอดจนเกิดการออมทรัพย์ระยะยาวใช้ต่อเนื่องไปในอนาคต รวมถึงเป็นมรดกตกทอดให้กับลูกหลานได้...ทั้งหมดนี้นับเป็นการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจฐานรากตามนโยบายรัฐบาลอย่างสำคัญ
โครงการนี้ตั้งเป้าหมายให้เกิด“ชุมชนไม้มีค่า” 20,000 แห่งทั่วประเทศ ภายใน 10 ปีนี้ โดยสนับสนุนเกษตรกร 2.6 ล้านครัวเรือนปลูกไม้มีค่าบนพื้นที่ 26 ล้านไร่ ครัวเรือนละ 400 ต้น รวมเป็นจำนวน 1,040 ล้านต้น ซึ่งจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 1.04 ล้านล้านบาท ทั้งสร้างความมั่นคงในอาชีพตามหลักของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง แล้วยังมีผลดีต่อสิ่งแวดล้อม เพิ่มพื้นที่ป่าไม้มหาศาลให้ไทย และช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 6.76 แสนตัน/ปี ซึ่งนำไปเป็นเครดิตได้เงินคิดเป็นมูลค่าตันละ 800 บาทด้วย
ทั้งนี้ จะมี 16 หน่วยงาน ทั้งภาครัฐและเอกชนร่วมดำเนินงานอย่างบูรณาการ หน่วยงานหลัก คือ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ขับเคลื่อนโดยนำองค์ความรู้ด้านการวิจัยและนวัตกรรมที่มีอยู่ พร้อมทั้งทำวิจัยเพิ่มเกี่ยวกับการปรับปรุงพันธุ์ไม้มีค่าให้มีลักษณะเฉพาะที่สามารถตรวจสอบได้,กรมป่าไม้ปรับปรุงแก้ไขระเบียบข้อบังคับและข้อกฎหมายในการปลูกและตัดไม้ รวมทั้งคัดเลือก เพาะพันธุ์กล้าไม้และขยายพันธุ์ไม้มีค่า จัดหาให้ประชาชนและชุมชน,สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ(องค์การมหาชน)ดูแลความหลากหลายทางชีวภาพ จัดทำเกณฑ์มาตรฐานการประเมินมูลค่าไม้ และธ.ก.ส.-ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ดูแลเรื่องทุนและโรงเพาะชำ
ส่วนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยกรมวิชาการเกษตร,กรมพัฒนาที่ดิน,กรมส่งเสริมการเกษตร ร่วมขับเคลื่อนพร้อมหน่วยงานอื่นๆ ได้แก่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์,กรมพัฒนาธุรกิจการค้า,สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง,สมาคมธุรกิจไม้,สมาคมธนาคารไทย,สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย,กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช และองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้(อ.อ.ป.)
โดยกลไกบูรณาการร่วมกันมี 3 เรื่องสำคัญคือ 1.ผลักดันกฎหมายและมาตรการส่งเสริมให้ปลูกไม้มีค่าทางเศรษฐกิจ 2.เพาะพันธุ์,ขยายพันธุ์,ปลูกและแปรรูป เพื่อให้เกษตรกรที่ต้องการปลูกมีข้อมูลว่าจะปลูกอะไร ปลูกอย่างไรและมีพันธุ์ไม้ใดที่เหมาะสม และ 3.ส่งเสริมการใช้งานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืน
โครงการ “ชุมชนไม้มีค่า” นับเป็นการ “ต่อยอด” หลังครม.มีมติ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา เห็นชอบแก้ไขพ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 7 เพื่อให้สิทธิ์ชาวบ้านปลูกและตัดไม้มีค่าทุกชนิดในที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองของตน เอามาขายหรือใช้ประโยชน์ได้ จากที่กฎหมายเดิมกำหนดไม้หวงห้ามไว้อาทิ ไม้สัก,ไม้ยาง,ไม้ชิงชัน,ไม้เก็ดแดง,ไม้อีเม่ง,ไม้พยุงแกลบ,ไม้กระพี้,ไม้แดงจีน,ไม้ขะยูง,ไม้ซิก,ไม้กระซิก,ไม้กระซิบ,ไม้พะยูง,ไม้หมากพลูตั๊กแตน,ไม้กระพี้เขาควาย, ไม้เก็ดดำ, ไม้อีเฒ่า, ไม้เก็ดเขาควาย ฯลฯ ไม่ว่าขึ้นอยู่ที่ใดซึ่งรวมถึงที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์ก็ต้องถูกควบคุม หากจะตัด ฟัน กาน โค่น ลิดเลื่อย ผ่า ถาก ทอน ขุด ชักลาก ต้องได้รับอนุญาตก่อนซึ่งมีขั้นตอนซับซ้อน ยุ่งยาก ทำให้ประชาชนขาดโอกาสประกอบอาชีพ มีอุปสรรคในการปลูกไม้ไว้ใช้หรือขาย
ทั้งนี้ การแก้ไขพ.ร.บ.ป่าไม้ มาตรา 7นี้ คาดจะผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติออกมามีผลบังคับใช้ได้ ไม่เกินกลางปี 2562 ขณะเดียวกันโครงการต่างๆที่ส่งเสริมเกษตรกรปลูกไม้มีค่าไว้ ซึ่งธกส.ก็มีโครงการธนาคารต้นไม้ที่ปัจจุบันมี 6,804 ชุมชน เข้าร่วม สมาชิกกว่า 115,000 ราย ปลูกต้นไม้กว่า 11 ล้านต้น หรือกรมป่าไม้ก็มีโครงการส่งเสริมการปลูกต้นไม้เพื่อเศรษฐกิจอยู่ ก็จะนำมาบูรณาการรวมกันในโครงการ“ชุมชนไม้มีค่า”นี้
การปลูกไม้มีค่านับเป็น “พืชเศรษฐกิจ” ที่มีอนาคตสดใสมาก เพราะไม้เหล่านี้ยิ่งอายุยาวนาน ก็ยิ่งมีมูลค่าสูงขึ้น ไม่จำเป็นต้องรีบตัดขาย จึงไม่ต้องห่วงปัญหา “ราคาตกต่ำ” เหมือนพืชพันธุ์ธัญญาหารต่างๆในทุกวันนี้ นอกจากนั้นยังสามารถปลูกพืชอื่นๆแซมใน “สวนป่า” เพื่อเก็บเกี่ยวระยะสั้น สร้างรายได้นำมาเป็นค่าใช้จ่ายเฉพาะหน้าได้ด้วย ทำให้ผมอดนึกถึงแนวทาง “ป่าวนเกษตร”ที่ปราชญ์ชาวบ้านผู้ล่วงลับอย่างผู้ใหญ่วิบูลย์ เข็มเฉลิม เคยทำไว้ประสบผลสำเร็จ เป็นแบบอย่างอันยิ่งใหญ่มาแล้ว
ก็ขอสนับสนุนเต็มที่สำหรับโครงการ “ชุมชนไม้มีค่า” ให้ประสบผลสำเร็จ เพื่อนำพาเกษตรกรไทยพ้นยากจนอย่างยั่งยืนในอนาคตครับ
สาโรช บุญแสง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี