เมื่อเร็วๆ นี้ ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี จ.นครราชสีมามีการจัดประชุมร่วมกันระหว่างสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กับเครือข่ายอาสาสมัครกู้ภัยทั่วประเทศ ครั้งที่ 3 “รวมพลังกู้ชีพกู้ภัย จิตอาสาไทย ใจเป็นหนึ่งเดียว”เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ในงานด้านการแพทย์ฉุกเฉินและงานกู้ภัย สร้างความเข้มแข็งและความร่วมมือของภาคีเครือข่ายองค์กรการกุศลที่ไม่แสวงหากำไรในการพัฒนาการกู้ชีพกู้ภัยของประเทศไทย ให้เป็นที่ยอมรับของประชาชนและชาวต่างชาติทั้งในภาวะปกติและภาวะภัยพิบัติ
ร.อ.อัจฉริยะ แพงมา เลขาธิการ สพฉ. กล่าวว่า สพฉ. ก่อตั้งขึ้นเพื่อดูแลให้ผู้ป่วยฉุกเฉินได้รับการดูแลอย่างทันท่วงที ทั่วถึงและเท่าเทียม อย่างไรก็ตามต้องอาศัยภาคีเครือข่ายความร่วมมือในเชิงการปฏิบัติการฉุกเฉิน ที่ไม่ได้เริ่มจากคำว่า EMS (Emergency Medical Services) อันเป็นการบริการทางการแพทย์ฉุกเฉิน แต่เป็นเรื่องของ SAR (Search Is An Emergency) หรือการค้นหาและกู้ภัย (Search and Rescue)
ดังตัวอย่างหนึ่งคือกรณีเหตุการณ์ 13 ชีวิตติดอยู่ในถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน จ.เชียงราย ที่ทำให้ประชาชนเข้าใจถึงกระบวนการกู้ภัยว่าก่อนจะช่วยชีวิตได้ต้องมีการค้นหาก่อน ดังนั้นการค้นหาและการกู้ภัยจะมาคู่กัน จากนั้นถึงจะเข้าสู่กระบวนการ EMS ซึ่งจะต้องมีบุคลากรระบบการแพทย์ฉุกเฉินตั้งแต่นอกโรงพยาบาลหรือในระดับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่กำลังจะเข้ามาร่วมมือกันในเรื่องนี้มากขึ้นขณะที่การส่งต่อผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาล และการปฏิบัติงานในห้องฉุกเฉินก็มีความสำคัญ จะต้องเชื่อมต่อกันอย่างเป็นระบบ
นอกจากนี้ถ้ากรณีโรงพยาบาลแห่งแรกยังไม่พ้นภาวะฉุกเฉิน การส่งต่อผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลที่มีศักยภาพอื่นนั้นก็มีความจำเป็นและสำคัญเช่นเดียวกัน อีกทั้งในการบริหารจัดการเรื่องสาธารณภัยจะมีคำใหม่คือคำว่า Emergency Care System (ECS) หรือระบบการรักษาพยาบาลฉุกเฉิน โดยกำลังจะนำไปอยู่ในแผนยุทธศาสตร์ชาติ หรือแผนปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข ซึ่งจะเป็นการพัฒนาขีดความสามารถทั้งระบบ คาดว่าจะใช้เวลาราว 3-4 ปี
“ในปี 2562 สพฉ. เตรียมขับเคลื่อนการจัดให้มีหน่วยปฏิบัติการฉุกเฉินที่ได้มาตรฐานการตรวจประเมินคุณภาพระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินแห่งประเทศไทยหรือ TEMSA จึงขอความร่วมมือให้หน่วยที่อยู่ในระบบการแพทย์ฉุกเฉินทั้งหมดทั้งประเทศกว่า 8,700 หน่วย ทำการประเมินตนเองว่าอยู่ในกลุ่มที่มีมาตรฐานหรือไม่อย่างไรซึ่งเป็นการยกระดับการให้บริการทางการแพทย์ฉุกเฉินอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และยังปลอดภัยทั้งตัวเราเอง ผู้ปฏิบัติการอื่น ประชาชน และผู้ป่วยฉุกเฉินด้วย” เลขาธิการ สพฉ. กล่าว
ขณะที่นายประวิทย์ อัศวินชัย ประธานมูลนิธิพุทธธรรม 31 นครราชสีมา หรือ “ฮุก 31” กล่าวในฐานะตัวแทนเครือข่ายองค์กรการกุศลที่ไม่แสวงหากำไรและคณะผู้จัดการประชุมว่า ด้วย พ.ร.บ.การแพทย์ฉุกเฉิน พ.ศ.2551 กำหนดให้สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ มีบทบาทในการบริหารจัดการ ประสานการปฏิบัติงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการปฏิบัติงานด้านการแพทย์ฉุกเฉินร่วมกัน
ทำให้ผู้ป่วยฉุกเฉินได้รับการคุ้มครองสิทธิในการเข้าถึงระบบการแพทย์ฉุกเฉินอย่างทั่วถึง เท่าเทียมมีคุณภาพมาตรฐาน โดยได้รับการช่วยเหลือและรักษาพยาบาลอย่างมีประสิทธิภาพ และทันต่อเหตุการณ์ ท่ามกลางสถานการณ์การเจ็บป่วยฉุกเฉินและสาธารณภัยของประเทศมีความหลากหลายและซับซ้อนขึ้นจึงต้องอาศัยความร่วมมือด้านการกู้ชีพกู้ภัยจากหลากหลายหน่วยงาน อันจะทำให้เกิดการช่วยเหลืออย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ
สำหรับการประชุมครั้งนี้มีเครือข่ายอาสากู้ภัยจำนวน 252 แห่ง รวมกว่า 3,000 คนเข้าร่วม นอกจากนี้ยังมีตัวแทนจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และบริษัทกลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด เข้าร่วมประชุมด้วย โดยนายกฤชเพชร เพชระบูรณิน ผู้อำนวยการกองส่งเสริมการป้องกันสาธารณภัย กล่าวว่า ที่ผ่านมา ปภ.ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากทุกภาคส่วน และหวังว่าในอนาคตจะได้พัฒนาองค์ความรู้ต่างๆ ร่วมกัน โดยในปี 2562 ปภ. จะจัดอบรมหลักสูตรกู้ภัยนานาชาติ ซึ่งมีการเชิญผู้เชี่ยวชาญจากออสเตรเลียมาเป็นวิทยากร
ด้านนายนพดล สันติภาภรณ์ กรรมการผู้จัดการบริษัทกลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด กล่าวว่า หากสามารถนำข้อมูลต่างๆ มาบริหารจัดการก็จะทำให้การดำเนินการช่วยเหลือผู้ป่วยมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะขณะนี้กู้ชีพกู้ภัยถือเป็นหน่วยงานที่อยู่ปลายน้ำ แต่จะทำอย่างไรให้สามารถไปอยู่ต้นน้ำได้ ทำหน้าที่บริหารจัดการความปลอดภัยให้กับคนทั้งประเทศ ในการลด หลีกเสี่ยง และป้องกันให้ทุกคนมีความปลอดภัยมากขึ้น เนื่องจากทุกวันนี้ประเทศไทยเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุเป็นอันดับต้นๆ ของโลก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี