คุก16ปี‘อดีตเณรคำ’พรากผู้เยาว์  ศาลชี้ใช้ความศรัทธาทำศาสนามัวหมอง

คุก16ปี‘อดีตเณรคำ’พรากผู้เยาว์ ศาลชี้ใช้ความศรัทธาทำศาสนามัวหมอง

วันพุธ ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2561, 14.56 น.

ศาลพิพากษาจำคุก 16 ปี “อดีตเณรคำ” ในความผิดฐานพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร ชี้ใช้ความศรัทธา ทำศาสนามัวหมอง ด้านเมียเตรียมฟ้องต่อเรียกค่าเลี้ยงดูทางแพ่งอีก 40 ล้านบาท

ที่ห้องพิจารณา 701 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษกเวลา 10.30 น.วันที่ 17 ต.ค.61 ศาลอ่านคำพิพากษา คดีกระทำอนาจาร หมายเลขดำ อ.2340/2560 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายวิรพล สุขผล อายุ 39 ปีอดีตพระภิกษุ ฉายาวิรพล ฉัตติโก หรือเณรคำ  อดีตประธานสงฆ์สำนักสงฆ์วัดป่าขันติธรรม อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ที่ทางการสหรัฐอเมริกาส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนมาดำเนินคดีเมื่อปี 2560 เป็นจำเลย ในความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกิน15 ปีไปจากบิดามารดาเพื่อการอนาจาร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสาม (อัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 5-20 ปี และปรับตั้งแต่ 10,000 - 40,000 บาท) และกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีซึ่งไม่ใช่ภริยาตนฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก อัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 4-20 ปี และปรับตั้งแต่ 8,000 - 40,000 บาท


ตามฟ้องอัยการโจทก์ เมื่อวันที่ 20 ก.ค.2560 สรุปพฤติการณ์ว่า เมื่อระหว่างเดือน ม.ค.2543 - กลางปี 2544  ต่อเนื่องกัน จำเลยได้พรากเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี ขณะมีอายุ 14 ปีเศษ จากผู้ปกครองไปอนาจารและข่มขืนกระทำชำเรา เป็นเวลา 2 ปี จนมีบุตร 1 คน 

ซึ่งพนักงานสอบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอ แต่ระหว่างดำเนินคดีจำเลยได้หลบหนีไปประเทศสหรัฐอเมริกา ต่อมาอัยการสูงสุดดำเนินการขอส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งทางการไทยได้รับตัว “นายวิรพล” มาจากประเทศสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 19 ก.ค.2560

เหตุเกิดที่ ต.โพธิ์ อ.เมือง , ต.หนองแก้ว อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ และที่ ต.แสนสุข อ.วารินชำราบ , ต.ห้วยยาง อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี

นายวิรพล จำเลย ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา อ้างว่าไม่ได้กระทำผิดและเด็กที่เกิดมาก็ไม่ใช่บุตรของตนเอง ซึ่งนับตั้งแต่ได้รับตัวกลับมาดำเนินคดี “นายวิรพล” ก็ไม่ได้รับการประกันตัวและวันนี้ศาลได้เบิกตัวจำเลยมาจากเรือนจำคลองเปรมเพื่อฟังคำพิพากษา โดยมีกลุ่มลูกศิษย์ที่ยังเลื่อมใสกว่า 20 คน เดินทางมาให้กำลังใจด้วย ขณะหญิงผู้เสียหายปัจจุบันอายุ 32 ปีเดินทางมากับญาติอีก 2 คน และร่วมฟังคำพิพากษาด้วย โดยนั่งปะปนกับกลุ่มลูกศิษย์

ขณะที่ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานทั้งสองฝ่าย ที่นำสืบหักล้างกันแล้ว เห็นว่า   ขณะเกิดเหตุเด็กหญิงผู้เสียหายมีอายุ 14 ปีเศษ  ผู้เสียหายได้ เข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนดีเอสไอ กล่าวหาจำเลยพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปจากผู้ปกครองเพื่อการอนาจาร และกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีฯ โดยชั้นพิจารณาผู้ปกครองและเด็กหญิง เบิกความถึงพฤติการณ์ของจำเลยว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยบวชเป็นสามเณรได้พบกับผู้เสียหาย ขณะนั้นกำลังเรียนอยู่ชั้น ม.2 ซึ่งครอบครัวได้พาผู้เสียหาย ไปทำบุญถวายภัตตาหารที่วัด และจำเลยได้เข้ามาหา พูดคุย แตะเนื้อต้องตัว และหลังจากนั้นช่วงเวลาเกิดเหตุจำเลย ได้ขับรถยนต์มารับผู้เสียหายอ้างว่าจะพาไปซื้อของโดยที่ไม่ได้ขออนุญาตผู้ปกครองและกระทำชำเราที่กุฏิร้างในจ.ศรีสะเกษ ด้วยการไม่สวมถุงยางอนามัย

นอกจากนี้จำเลยยังพาไปกระทำชำเราอีกหลายครั้งหลายหนและเมื่อกลัวว่า ชาวบ้านจะล่วงรู้  จึงให้ผู้เสียหายย้ายไปอยู่บ้านเช่าที่ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี และย้ายมาอยู่ที่ กทม. เนื่องจากขณะนั้นจำเลยเป็นพระผู้ใหญ่มีชื่อเสียง เกรงว่าชาวบ้านจะล่วงรู้ ทำให้จำเลยเสียชื่อเสียง

ทั้งนี้ คำเบิกความของผู้เสียหายตรงกับบันทึกคำให้การในชั้นสอบสวน ทั้งนี้แม้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่ผู้เสียหายก็ยังเบิกความถึงเหตุการณ์และพฤติการณ์กระทำของจำเลยโดยมีรายละเอียดข้อเท็จจริงตรงกับที่ได้ให้การไว้ และสอดคล้องกับที่พนักงานสอบสวนพยานโจทก์เบิกความ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ทั้งเรื่องราวดังกล่าวหากมิได้เกิดขึ้นจริง ก็ยากที่ผู้เสียหายจะปั้นแต่งเรื่อง เนื่องจากเป็นผู้หญิง คงจะไม่สร้างเรื่องราวอับอายที่ทำให้ตนเองและครอบครัวเสื่อมเสียชื่อเสียง ขณะที่หลังเกิดเหตุตำรวจก็ยังได้พาผู้เสียหายไปชี้ที่เกิดเหตุต่อหน้าสื่อมวลชนด้วย

นอกจากนี้โจทก์ยังมีชาวบ้าน , คนขับรถของจำเลย และตำรวจที่รู้จักกัน  ที่จำเลยโอนเงินผ่านส่งให้ผู้เสียหายก็ล้วนเบิกความสอดคล้องกันว่าพยานที่เป็นคนขับรถ พาผู้เสียหายย้ายไปอยู่จังหวัดอื่น 

ส่วนการโอนเงินค่าส่งเสียเลี้ยงดูเป็นรายเดือนนั้น จะโอนเข้าบัญชีของพยานที่เป็นตำรวจก่อน แล้วจึงนำไปให้ผู้เสียหาย ครั้งละ 10,000 บาทบ้าง 5,000 บาทบ้าง

สำหรับการตรวจดีเอ็นเอก็ยังมีเจ้าหน้าที่เบิกความว่า ได้ตรวจสารพันธุกรรมจากก้นบุหรี่ที่จำเลยเคยดูดและพระเครื่องที่จำเลยเคยให้กับบุคคลอื่น เพื่อพิสูจน์ว่าบุคคลมีความสัมพันธ์เป็นพ่อแม่ลูกกันหรือไม่ ก็พบว่ามีตำแหน่งที่ตรงกันถึง 15 ตำแหน่งกับผู้เสียหาย และบุตร จึงน่าเชื่อว่าเป็นพ่อแม่ลูกกัน         

พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาจึงไม่มีเหตุให้พิรุธสงสัยว่าพยานจะให้การปรักปรำใส่ร้ายจำเลย ซึ่งพยานที่เป็นเจ้าหน้าที่ก็ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ขณะที่จำเลยก็ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าตำรวจที่เป็นคนกลางและโอนเงินให้นั้นมีความสัมพันธ์ทางอื่นกับผู้เสียหายอย่างไร จึงได้โอนเงินให้ ส่วนที่จำเลยปฏิเสธการตรวจดีเอ็นเอนั้น ตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 131 บัญญัติว่าให้พนักงานสอบสวนรวบรวมหลักฐานทุกชนิด ซึ่งหากจำเป็นต้องตรวจพิสูจน์หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ก็ให้พนักงานสอบสวนมีอำนาจกระทำได้ หากผู้ต้องหาหรือเสียหายไม่ยินยอม โดยไม่มีเหตุอันสมควรให้สันนิษฐานไว้เบื้องต้นว่าข้อเท็จจริงเป็นไปตามผลการตรวจพิสูจน์หากได้มีการตรวจพิสูจน์แล้ว ซึ่งถ้าจำเลยมิได้กระทำผิดก็น่าจะยินยอมให้ตรวจพิสูจน์

ข้อต่อสู้ของจำเลยจึงเป็นเพียงข้ออ้างลอยๆ  ไม่มีพยานอื่นมานำสืบข้อต่อสู้คดีด้วย

ศาลจึงพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ฯมาตรา 317 วรรคสาม และกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีฯ ตามมาตรา 277 วรรคแรก เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นความผิดไป โดยจำคุก 8 ปี ฐานพรากผู้เยาว์ฯ และจำคุก 8 ปี ฐานกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี รวมจำคุก 16 ปี

พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้วเห็นว่าขณะเกิดเหตุจำเลยใช้ความเป็นพระภิกษุที่ประชาชนให้ความเคารพศรัทธากระทำผิดกับเด็กนักเรียน ทำให้ศาสนามัวหมอง เห็นควรลงโทษสถานหนัก และให้นับโทษจำเลยต่อจากคดีฉ้อโกงประชาชนที่ศาลอาญาพิพากษาจำคุกไว้เป็นเวลา 20 ปี

ด้าน "ทนายความของนายวิรพล" กล่าวว่า จะขอคัดคำพิพากษาไปศึกษารายละเอียดและปรึกษากับนายวิรพลอีกครั้งก่อนตัดสินใจว่าจะอุทธรณ์คดีหรือไม่

ขณะที่ "น.ส.หญิง (นามสมมุติ)" อายุ 32 ปี ซึ่งเป็นเด็กหญิงผู้เสียหายคดีนี้ ที่เดินทางมาฟังคำพิพากษาด้วย ก็เปิดเผยว่า รู้สึกพอใจผลคำพิพากษาเป็นอย่างมาก หลังจากนี้ก็จะดำเนินการต่อในคดีแพ่งที่ได้ยื่นฟ้องไว้กับศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดศรีสะเกษ เมื่อปี 2556  โดยเรียกเงินค่าเลี้ยงดู 40 ล้านบาทซึ่งศาลเยาวชนฯ ได้จำหน่ายคดีออกจากสารบบไว้ชั่วคราว โดยให้รอผลคำพิพากษาในคดีอาญานี้ก่อน เพื่อนำไปประกอบการพิจารณาในคดีแพ่ง

ตนต้องการเรียกร้องความเป็นธรรมเพราะช่วงขณะเกิดเหตุนายวิรพล สัญญาว่า จะจ่ายเงินค่าเลี้ยงดูเดือนละ 10,000 บาท แต่ก็จ่ายให้ระยะหนึ่ง จากนั้นก็ไม่จ่ายให้อีกเลย  ซึ่งคาดว่าทางฝ่ายจำเลยน่าจะอุทธรณ์คดี และวันนี้เป็นครั้งแรกที่มาเจอนายวิรพล  หลังถูกดำเนินคดี ซึ่งตนได้มองหน้า แต่นายวิรพล กลับไม่ยอมสบตา ส่วนความรู้สึกกับนายวิรพลนั้น ตอนนี้ตนไม่ได้นึกคิดอะไรแล้ว คิดเพียงว่าหากศาลพิพากษาออกมาอย่างไร ก็ให้เป็นตามนั้น 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อย่างไรก็ดีสำหรับพรากผู้เยาว์และข่มขืนกระทำชำเราฯ นั้นยังเป็นคำพิพากษาของศาลชั้นต้นซึ่งจำเลยมีสิทธิ์ยื่นอุทธรณ์ต่อได้ตามกฎหมาย

โดยก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่9 ส.ค.61 ศาลอาญา พิพากษาให้จำคุก “นายวิรพล” ฐานฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 343 ฐานฉ้อโกงประชาชน 29 กระทงๆ ละ 3 ปี เป็น 87 ปี

จำคุก 3 ปีตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (1) กับให้จำคุกฐานฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯ อีก 12 กระทงๆ ละ 2 ปี เป็น 24 ปี รวมจำคุกทั้งสิ้น 114 ปี แต่ตามกฎหมายเมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว จำคุกได้สูงสุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (2) เป็นเวลา 20 ปี ให้ชดใช้เงิน 28,649,553 บาท คืนกับผู้เสียหายกับ 29 รายตามจำนวนที่แต่ละรายถูกหลอกลวงจนหลงเชื่อบริจาคด้วย ซึ่งเมื่อรวมกับคดีที่ศาลอาญาพิพากษาจำคุกวันนี้อีก 18 ปี  รวม 2 คดี ศาลได้สั่งจำคุกนายวิรพล 36 ปี

ส่วนคดีแพ่ง “ศาลแพ่ง” ได้พิพากษาให้ยึดทรัพย์นายวิรพลจำนวน 43,478,992 บาทที่ไม่สามารถชี้แจงที่มาได้ ให้ตกเป็นของแผ่นดินแล้วด้วย

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top