วันพุธที่ 14 นี้เป็น“วันพระบิดาแห่งฝนหลวง” เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ 20 สิงหาคม 2545 ที่ได้เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ 9 ให้เป็น“พระบิดาแห่งฝนหลวง” ทั้งกำหนดให้ 14 พฤศจิกายนของทุกปี เป็นวันพระบิดาแห่งฝนหลวง
“ฝนหลวง”เป็นพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 “ผู้สถิตอยู่ในใจคนไทยชั่วนิรันดร์” ได้พระราชทานให้ อันเป็นประโยชน์ใหญ่หลวงต่อเกษตรกร ตลอดจนปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าตราบทุกวันนี้และยังจะเป็นประโยชน์ต่อไปในอนาคต รวมทั้งเผื่อแผ่ถึงชาวโลกหลายๆประเทศในดินแดนที่ลำบากแห้งแล้ง ได้ขอนำเอาโครงการ“ฝนหลวง”ไปดำเนินการ...โอกาสนี้ ผมขอน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอีกครั้ง โดยย้อนที่มาโครงการ“ฝนหลวง”กันสักหน่อย
ที่ครม.กำหนดให้ 14 พฤศจิกายนของทุกปีเป็นวัน“พระบิดาแห่งฝนหลวง” เพราะตรงกับวันที่พระองค์เริ่มทรงมีพระราชดำริเรื่องโครงการ“ฝนหลวง”ขึ้นครั้งแรกเมื่อพ.ศ. 2498 ด้วยทรงห่วงใยพสกนิกรในท้องถิ่นทุรกันดารที่ได้เสด็จพระราชดำเนินไปพบทุกภูมิภาค ทอดพระเนตรเห็นทุกข์ยากจากภาวะแห้งแล้ง ขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคและใช้เพื่อการเกษตร ทรงพบว่า
ความผิดปกติของฤดูกาล ภาวะแห้งแล้งมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นเพราะการตัดไม้ทำลายป่า จนธรรมชาติเปลี่ยนแปลงเร็ว สร้างความเดือดร้อนแก่ทุกภาคประเทศ ส่งผลเสียหายต่อเศรษฐกิจชาติโดยรวมเป็นมูลค่ามหาศาลในแต่ละปี
หลังมีพระราชดำริแล้วก็ทรงทุ่มเท คิดค้นวิจัยทั้งด้านวิชาการ อุตุนิยมวิทยาและการดัดแปรสภาพอากาศเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีการทำฝนหลวง ปีต่อมา พ.ศ.2499 จึงได้พระราชทานโครงการพระราชดำริ“ฝนหลวง”ให้ม.ล.เดช สนิทวงศ์ รับสนอง ไปร่วมมือกับ ม.จ.จักรพันธ์เพ็ญศิริ จักรพันธุ์ และม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล ผู้เชี่ยวชาญการวิจัยประดิษฐ์ด้านเกษตรวิศวกรรมของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในขณะนั้น ทำการศึกษาวิจัยและพัฒนากรรมวิธีการทำฝนให้บังเกิดผลโดยเร็ว ซึ่งในปีถัดมาทรงโปรดเกล้าฯให้หาลู่ทางทดลองปฏิบัติการจริงในท้องฟ้า
วันที่ 20 กรกฎาคม 2512 เป็นวันปฐมฤกษ์ปฏิบัติการทดลองทำฝนเทียมกับเมฆในท้องฟ้าเหนือภาคพื้นดินบริเวณวนอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา โดยใช้น้ำแข็งแห้ง(Dry-Ice) โรยที่ยอดกลุ่มก้อนเมฆ ปรากฏว่าหลังจากนั้นราว 15 นาที ก้อนเมฆเกิดการรวมตัวกันหนาแน่นเห็นได้ชัด สังเกตได้จากฐานเมฆเปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีเทาเข้ม และการติดตามผลโดยสำรวจทางภาคพื้นดิน ได้รับรายงานยืนยันจากราษฎรว่า เกิดฝนตกลงบริเวณวนอุทยานเขาใหญ่ในที่สุด
การทดลองน่าพอใจ ทั้งเป็นนิมิตหมายที่ดี บ่งชี้ให้เห็นว่า การบังคับเมฆให้เกิดฝน เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ เพียงแต่ยังไม่อาจควบคุมให้ฝนตกในบริเวณที่ต้องการได้ ต่อมาจึงพระราชทานคำแนะนำเพิ่มต่อเนื่อง โดยให้เปลี่ยนพื้นที่ทดลองไปยังจุดแห้งแล้งอื่นๆ เช่น ที่อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี เป็นต้น ส่งผลให้มีการพัฒนา ปรับปรุงต่อยอด กระทั่งสำเร็จ ช่วยประเทศชาติรอดพ้นวิกฤติภัยแล้งมาจนถึงปัจจุบัน
ด้วยผลสำเร็จโครงการฝนหลวง ในพ.ศ.2518 รัฐบาลยุคนั้นจึงตราพระราชกฤษฎีกาก่อตั้ง “สำนักงานปฏิบัติการฝนหลวง” ขึ้นในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทั่งมาเป็น“กรมฝนหลวงและการบินเกษตร”ในทุกวันนี้
“วันพระบิดาแห่งฝนหลวง”ปีนี้ กระทรวงเกษตรฯโดยกรมฝนหลวงฯได้จัดงานน้อมรำลึกมาตั้งแต่วันจันทร์ที่ 12 จนถึงวันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายนนี้ ณ ลานอเนกประสงค์ อาคารรัฐประศาสนภักดี ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถ.แจ้งวัฒนะ มีทั้งนิทรรศการเรื่องเล่าโครงการ“ฝนหลวง” พันธกิจและภารกิจปฏิบัติการฝนหลวงและเทคนิคดัดแปรสภาพอากาศตามศาสตร์พระราชาที่เผยแพร่ไปยัง 8 ประเทศ,นิทรรศการโครงการพัฒนาอากาศยานไร้นักบิน(UAV) เพื่อสนับสนุนปฏิบัติการฝนหลวงเป็นต้น ทั้งมีไฮไลท์ แลนด์มาร์คเปิดตัวภาพวาดสีน้ำมันในหลวงรัชกาลที่ 9 ขณะทรงงานโดยศิลปินชื่อดัง อ.เกริกบุระ ยมนาค ให้ได้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก…ก็อยากเชิญชวนไปร่วมชมกัน
ขณะเดียวกัน ก็ต้องฝากถึงท่านอธิบดีกรมฝนหลวงฯ-สุรสีห์ กิตติมณฑล ด้วยว่า ภารกิจในการทำ“ฝนหลวง” นับจากนี้ไปคงต้องเตรียมการให้ดียิ่ง เพราะผมได้ข่าวมาว่า ปรากฏการณ์“เอลนีโญ”เริ่มคุกคามเข้ามา มีรายงานคาดการณ์ทั้งของกรมอุตุนิยมวิทยาและภาควิชาการว่า ตั้งแต่ธันวาคมนี้ไปจนตลอดทั้งปี 2562 ในภูมิภาคด้านประเทศไทยเรานี้ จะประสบภาวะแห้งแล้งหนัก
คาดว่า “ภัยแล้ง” จะรุนแรงไม่แพ้ปี 2558 ที่เคยหนักหนาสาหัสสากรรจ์เลยทีเดียว ฉะนั้น ภารกิจ “ฝนหลวง”จะยิ่งทวีความสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรและคนไทยทั้งปวง!
สาโรช บุญแสง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี