อัจฉริยะ ปธ.ชมรมฯ ร้อง อสส.สอบ 2 อัยการช่วยเหลือผตห.คดีฉ้อโกงฟอกเงิน-ยาเสพติด เอี่ยวทนายคนดัง หาผลประโยชน์ช่วยจำเลยคดียาให้รับโทษน้อย เผยอัยการที่ถูกร้องเคยนั่งหน้าห้องเข็มชัย อสส.
29 พ.ย. 61 เวลา 10.40 น. ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ศูนย์ราชการฯ ถนนเเจ้งวัฒนะ นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เดินทางเข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อนายเข็มชัย ชุติวงศ์ อัยการสูงสุด (อสส.)ถึงการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานอัยการคดีพิเศษ 1 ที่ให้การช่วยเหลือผู้ต้องหา โดยมีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ 3 คดีที่พนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)ได้ทำสำนวนพร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้องผู้ต้องหารวม 3คนความผิดตามพ.ร.ก.กู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันฟอกเงิน เมื่อปี2558
โดยนายอัจฉริยะกล่าวว่า คดีดังกล่าว สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)ได้มีคำสั่งให้ยึดเเละอายัดทรัพย์ผู้ต้องหาแล้วเเล้ว เเต่พนักงานอัยการคดีพิเศษ1 ที่เป็นเจ้าของสำนวนได้มีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ 3 เนื่องจากเห็นว่า เป็นเรื่องทางเเพ่ง ทั้งที่จริงเเล้ว จากหลักฐานที่ดีเอสไอ.เสนอมามีเอกสารราชการของกระทรวงการคลังยืนยันว่า เรื่องดังกล่าวเป็นความผิดดังที่ดีเอสไอ.ได้มีความเห็นไว้ ซึ่งตนเห็นว่า เรื่องนี้ผิดปกติ จึงนำเรื่องมาร้องเรียนโดยตนมองว่าเป็นการใช้ดุลพินิจที่ส่อไปในทางไม่สุจริตหรือพูดง่ายๆว่า วิ่งคดีได้และขอให้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนการปฏิบัติหน้าที่ของอัยการคนดังกล่าวเเละขอให้ย้ายออกจากพื้นที่ชั่วคราวจนกว่า การสอบสวนจะเเล้วเสร็จ
นายอัจฉริยะ กล่าวอีกว่าสำหรับคดีที่อัยการคดีพิเศษ1 คนดังกล่าวมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องนั้นเป็นคดีการฉ้อโกงเกี่ยวกับการขายโทรศัพท์มือถือที่มีเงินหมุนเวียนในบัญชีผู้ต้องหาร่วมหนึ่งหมื่นล้านบาท เเละ ปปง.ได้สั่งอายัดทรัพย์ไว้เเล้ว เเต่อัยการกลับสั่งไม่ฟ้อง ซึ่งผิดปกติมาก เพราะตัวผู้ต้องหาหลักได้ถูกฟ้องตกเป็นจำเลยที่1-2 และศาลพิพากษาลงโทษจำคุกไปเเล้ว คนละ 20ปี เเต่ผู้ต้องที่ 3 ซึ่งเป็นคนรับโอนเงินกลับสั่งไม่ฟ้อง โดยตนทราบว่า หลังจากที่อัยการคดีพิเศษ1ได้มีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง ผู้ต้องหาที่ 3 เเล้วอธิบดี ดีเอสไอ.กำลังที่จะทำความเห็นเเย้งกับคำสั่งอัยการพิเศษคนดังกล่าวกลับไปยังนายเข็มชัย ชุติวงศ์ อสส.เพื่อชี้ขาดว่า จะมีความเห็นอย่างไร
นายอัจฉริยะ กล่าวต่อว่าสำหรับ เรื่องที่สองที่ตนมายื่นหนังสือร้องเรียน เพื่อขอให้ตรวจสอบพนักงานอัยการจังหวัดสมุทรสาคร ที่ร่วมมือกับทนายคนดังคนเดิม ช่วยเหลือจำเลยคดียาเสพติด ให้ได้รับประโยชน์ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ ม.100/2 เพื่อให้ศาลลดโทษ ซึ่งตนทราบว่า บช.น.ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนนายตำรวจที่เข้าไปเบิกความเท็จต่อศาลเพื่อช่วยการกระทำผิดของอัยการเเละทนายคนดังกล่าว เเละผลสอบออกมาว่า คดีมีมูล ที่ผ่านมาหากมีผู้ต้องหาคนใดที่โดนฟ้องเป็นจำเลยโดยมีพนักงานอัยการคนดังกล่าวเป็นเจ้าของสำนวนเเละใช้ทนายชื่อดังคนดังกล่าวดูคดีให้ จำเลยคนนั้นจะได้รับประโยชน์ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ ม.100/2 เป็นจำนวนมาก ซึ่งตนทราบว่าอัยการคนดังกล่าวนั้นเดิมเคยเป็นหน้าห้องของนายเข็มชัย อสส.คนปัจจุบัน เเละได้ย้ายไปปฏิบัติงานที่ จ.สมุทรสาคร และย้ายไปที่สำนักงานอัยการภาค7ก่อนที่จะวิ่งเต้นย้ายกลับมาที่ จ.สมุทรสาคร
ซึ่งอัยการคนดังกล่าวเป็นคนเดียวกับที่ มีข่าวว่านักธุรกิจส่งออกอาหารทะเลเสียเงินวิ่งเต้น5เเสนบาท อัยการคนนี้มีประวัติมาก และถ้าทนายชื่อดังคนดังกล่าวไม่มีอัยการคนนี้ก็ไม่มีทางได้ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ ม.100/2 ซึ่งคดีที่เรานำเรื่องมาร้องต่ออสส.จะมีความเกี่ยวพันกับคดียัดยาเสพติดของทนายคนดังที่เรากำลังดำเนินการยื่นเรื่องขอรื้อฟื้นคดีอยู่
"วันนี้ตนจึงมาขอให้นายเข็มชัย อสส. ตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงว่า อัยการคนนี้มีส่วนพัวพันเกี่ยวกับการคดียาเสพติดและตนได้คัดถ่ายคำพิพากษาจากศาลของจำเลยที่ได้ประโยชน์จากอัยการคนนี้มายื่นประกอบการพิจารณาด้วย" นายอัจฉริยะ กล่าวตอนท้าย
ด้านนายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษก สำนักงานอัยการสูงสุดซึ่งเป็นตัวเเทนรับมอบหนังสือร้องเรียน กล่าวว่า หลังจากนี้ทางทีมโฆษกฯ จะรีบนำเรียน นายเข็มชัย อสส.ให้ทราบโดยเร็วทันที เเละจะต้องมีการตรวจสอบ ในส่วนที่นายอัจฉริยะร้องเรียนโดยอ้างถึงกรณีที่ ปปง.มีคำสั่งอายัดทรัพย์เเต่อัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ 3 นั้นตามกฎหมายการปราบปรามการฟอกเงินนั้นจะเเบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนเเรกคือที่มีการกล่าวหาว่าบุคคลใดกระทำความผิดตามมูลฐาน ปปง.ก็จะนำเรื่องเสนอทางธุรกรรมเพื่อยึดอายัดทรัพย์สินไว้ชั่วคราว 90 วันเเละทำการตรวจสอบ ตรงนี้เป็นอำนาจของ ปปง.ที่จะดำเนินการได้โดยไม่ต้องรอผลในคดีอาญา เเละเเนวปฏิบัติของ ปปง.เเม้บางคดีจะมีพยานหลักฐานไม่พอที่จะฟ้องเเต่ก็ไม่เป็นการที่จะไปหยุดยั้งกระบวนการในส่วนกฎหมายฟอกเงิน อย่างเช่นคดียาเสพติดหลายเรื่องที่ศาลพิพากษายกฟ้องเเต่ ปปง.ก็ยังยึดอายัดทรัพย์ตามอำนาจของกฎหมายฟอกเงิน
ซึ่งคนที่กระทำความผิดฐานฟอกเงินก็มักจะถูกตั้งข้อหา ร่วมกันฟอกเงินเป็นคดีอาญาไปด้วย ซึ่งทางดีเอสไอจะเป็นผู้ทำสำนวนคดีเสนอความเห็นควรสั่งฟ้องให้อัยการสำนักงานคดีพิเศษพิจารณา โดยเป็นรูปคณะทำงานอัยการ เเต่หากว่า คณะทำงานอัยการเห็นว่าหลักฐานไม่พอฟ้องเเละมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง สำนวนก็จะถูกยัอนกลับมาที่ดีเอสไอเพื่อทำความเห็นว่า เห็นพ้องด้วยหรือหรือเห็นต่างอย่างไรกับคณะทำงาน หากดีเอสไอมีความเห็นพ้องด้วยคดีก็ถึงสิ้นสุด แต่หากเห็นต่างสำนวนก็จะถูกส่งไปยัง อสส.เพื่อชี้ขาดเป็นคนสุดท้าย ตรงนี้เป็นระบบถ่วงดุล
ส่วนเรื่องที่ขอให้มีการสอบสวนนั้น หากอัยการคนใดมีการถูกกล่าวหาทางสำนักงานอัยการสูงสุดจะต้องมีการตรวจสอบ หากเป็นเรื่องวินัยจะมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นก่อน โดยจะมี สำนักงานคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.)คอยกำกับดูเเลอยู่เเล้ว ซึ่งถ้าเข้าข่ายมีมูลก็จะตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้น หากสอบเเล้วไม่มีมูลก็ถือว่าจบไป เเต่หากสอบเเล้วมีมูลก็จะมีการตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายเเรงต่อไป โดยเราจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายไม่มีการปกป้องกันเอง สำนักงานอัยการสูงสุดไม่นิ่งนอนใจอยู่แล้ว .
อรรถชัย/ข่าวศาล 0816424928
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี