จากสภาพปัญหาดินเสื่อมโทรม จนไม่สามารถเพาะปลูกพืชให้ได้ผลผลิตดีเท่าที่ควร ส่งผลให้เกษตรกรเดือดร้อนจากราคาผลผลิตตกต่ำ สหกรณ์ผู้เลี้ยงโคขุนในเขตปฏิรูปที่ดินปางศิลาทอง จำกัด ต.หินดาต อ.ปางศิลา จ.กำแพงเพชร เป็นอีกหนึ่งสหกรณ์ที่เกษตรกรสมาชิกได้รับผลกระทบดังกล่าว เนื่องจากสมาชิกส่วนใหญ่ปลูกมันสำปะหลังและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ต้องประสบปัญหาดินแห้งแล้ง ทำให้ผลผลิตไม่ได้คุณภาพและปริมาณตามที่ต้องการ สหกรณ์ฯจึงหาอาชีพเสริมให้สมาชิกเพื่อมีความเป็นอยู่ดีขึ้นกว่าเดิม
สหกรณ์ผู้เลี้ยงโคขุนในเขตปฏิรูปที่ดินปางศิลาทอง จำกัด ตั้งครั้งแรกเมื่อปี 2546 เป็นกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโคขุน มีสมาชิกเริ่มต้น 11 ราย ต่อมาพัฒนากิจการเรื่อยมาจนมาถึงปี 2555 ได้รับรางวัลกลุ่มเกษตรกรดีเด่น สาขาอาชีพการเลี้ยงสัตว์(รับพระราชทานรางวัลจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10) ปัจจุบันกลุ่มเกษตรกร ได้ขยายกิจการและพัฒนาเป็นสหกรณ์ผู้เลี้ยงโคขุนในเขตปฏิรูปที่ดินปางศิลาทอง มีสมาชิก 214 ราย มีกิจกรรมหลากหลาย ได้แก่ การขุนโคต้นน้ำ การเริ่มทดลองขุนโคกลางน้ำให้มีขนาดเพิ่มขึ้นและทดลองตลาดโดยการชำแหละ การซื้อหญ้าเนเปียร์ปากช่องของสมาชิก
การเพิ่มปริมาณโคต้นน้ำและการขายมูลโค ปัจจุบันสหกรณ์เลี้ยงโคต้นน้ำเพศเมีย 846 ตัว เลี้ยงโคขุนหมุนเวียนปีละ 1,200-1,500 ตัว
นางธนพัต จงธนวิเศษ ผู้จัดการสหกรณ์ผู้เลี้ยงโคขุนในเขตปฏิรูปที่ดินปางศิลาทอง จำกัด เล่าว่า สหกรณ์ฯ ได้มีการปรับปรุงสายพันธุ์จากบราห์มันไทยใหญ่เป็นบราห์มันชาโรเล่ส์เลือด 50 เพราะการตลาดของสหกรณ์ฯจะใช้ชาโรเล่ส์เลือด 50 เป็นตลาดนำ จึงปรับสายพันธุ์โดยใช้แม่บราห์มันไทยใหญ่พื้นเมืองและผสมน้ำเชื้อของชาโรเล่ส์เลือด 100 เข้าไป ลูกออกมาก็จะเป็นบราห์มันเลือด 50 ชาโรเล่ส์ ดังนั้น การเลี้ยงโคจึงคุ้มค่าต่อการลงทุน เพราะเป็นที่ต้องการของตลาด การจำหน่ายจะมี 2 รูปแบบคือ การขายโคตัวเป็นส่งให้ภาคเอกชนและการขายแปรรูป โดยการส่งโคตัวเป็นน้ำหนัก 500 กิโลกรัม ไปแปรรูปยังสหกรณ์เครือข่ายโคเนื้อ จำกัด (Max Beef) ซึ่งสหกรณ์เครือข่ายดังกล่าวจะออกแบบแพ็กเกจจิ้งให้ และจำหน่ายในจังหวัดและร้านสเต๊กทั่วไป จนสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคได้
นอกจากนี้ สหกรณ์ฯยังมีเป้าหมายพัฒนาการผลิตให้ได้มาตรฐานยิ่งขึ้น โดยการเพิ่มปริมาณการผลิตโคจากภายในกลุ่มและการเชื่อมโยงเครือข่ายผู้เลี้ยงโค พร้อมทั้งเพิ่มทางเลือกด้านการตลาดจากผู้ซื้อหลายแห่ง เพื่อลดการผูกขาดทางการตลาด ตลอดจนทดลองชำแหละโคเพื่อเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ โดยมีเป้าหมายจะเพิ่มมูลค่าโคที่ขุนประมาณร้อยละ 10 สู่การแปรรูปในปี 2562
“ปัจจุบันสหกรณ์ฯจะเลี้ยงโคส่งขายอยู่ที่กลางน้ำ กล่าวคือ ส่งต่อให้สหกรณ์เครือข่ายนำไปเลี้ยงต่ออีกประมาณ 8 เดือน ถึง 1 ปี เพื่อทำเกรดไขมันแทรก ซึ่งจะเป็นการส่งโคเข้าโรงเชือดและจะวัดหน้าเกรดเนื้อออกมา โดยจะมีตั้งแต่เกรด 1-10 ตามอัตราไขมันแทรกของไขมันกับเนื้อ ซึ่งไขมันจะอยู่ระหว่างเนื้อ ราคาจะแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับน้ำหนัก ถ้าน้ำหนัก 500 กิโลกรัมขึ้นไป ราคาจะสูงกว่าท้องตลาดทั่วไปประมาณ 5 บาทต่อกิโลกรัม” นางธนพัต กล่าว
นายสุเทพ ปานน้อย สมาชิกสหกรณ์ผู้เลี้ยงโคขุนในเขตปฏิรูปที่ดินปางศิลาทอง จำกัด เล่าว่า หลังสหกรณ์ฯเข้ามาส่งเสริมการเลี้ยงโคขุน ทำให้ปัจจุบันตนหันมาเลี้ยงโคขุนเป็นอาชีพหลัก เนื่องจากตลาดไปได้ดีกว่าปลูกมันสำปะหลัง อีกทั้ง การทำไร่มันสำปะหลังทำได้เพียงปีละครั้ง แต่การเลี้ยงโคขุนปีหนึ่งสร้างรายได้ไม่ต่ำกว่าปีละ 2-3 ครั้ง ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับปริมาณการเลี้ยงโคของแต่ละคนด้วย ส่งผลให้สมาชิกมีรายได้เพิ่มขึ้น และชีวิตดีขึ้นมาก
“ก่อนหน้านี้ไม่มีความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงโคขุนเลย สหกรณ์ฯได้อบรมให้ความรู้แก่สมาชิกทุกคนที่สนใจเลี้ยงโค โดยสอนตั้งแต่วิธีการเลี้ยง การดูแล การให้อาหาร โดยใช้สูตรอาหารที่สหกรณ์ฯ แนะนำ ไม่มีสิ่งเจือปน หรือสารเร่ง เพื่อให้การผลิตโคได้มาตรฐานและขายได้ราคาดี” นายสุเทพ กล่าว
นอกจากนี้ สหกรณ์ผู้เลี้ยงโคขุนในเขตปฏิรูปที่ดินปางศิลาทอง จำกัด ยังได้รับการช่วยเหลือจากกรมส่งเสริมสหกรณ์เป็นเงินทุนดอกเบี้ยขั้นต่ำ และได้งบจากโครงการไทยนิยม ยั่งยืน นำมาซื้อรถขนซากโค 1 คัน ทำให้สหกรณ์ฯขยายธุรกิจ และเกษตรกรสมาชิกมีอาชีพเสริมที่มั่นคง ความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี