เมื่อฉบับที่แล้ว เล่าคร่าวๆ ว่าแอปเตอร์ หน้าตาเป็นอย่างไร ทำงานอย่างไร และทิ้งท้ายว่าผลการทำงานเป็นอย่างไรบ้างนั้น กระผมรับปากจะมาเล่าต่อกัน ฉบับนี้ จึงขออนุญาตต่ออีกสักเล็กน้อย ก่อนที่จะเข้าสู่ประเด็นที่น่าสนใจโดยทั่วไปของประเทศอาเซียน จีน เกาหลีใต้และญี่ปุ่นครับ
ความจริง การจะทำงานให้ถูกตาถูกใจของประเทศสมาชิกได้นั้น ก็คือถามว่า แอปเตอร์สามารถช่วยเหลือข้าวสารเพื่อบริโภคแก่ประชาชนผู้ประสบภัยได้มากน้อยแค่ไหน ว่ากันตามจริง ในแต่ละปีทุกวันนี้ ภัยธรรมชาติบนโลกเราเกิดขึ้นมากหรือถี่กว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็น พายุใหญ่ สึนามิ น้ำท่วม ฝนแล้ง แผ่นดินไหว ดินถล่ม ภูเขาไฟระเบิด รวมไปถึงโรคแมลงระบาดทำลายพืชผลทางการเกษตร ด้วยอิทธิพลของสาเหตุหลักที่นักวิชาการของโลกมักยกมากล่าวอ้างกัน คือ climate change หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะประเทศอาเซียนบวกสามของเรา ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เวียดนาม มักจะเจอบ่อยกว่าเพื่อน
เช่น เมื่อช่วงตั้งแอปเตอร์ใหม่ๆ ปี 2557 ก็เกิดพายุใหญ่ไห่เยี่ยนพัดทำลายตอนกลางของประเทศฟิลิปปินส์เสียหายหนักทั้งบ้านเรือนทรัพย์สิน รวมทั้งชีวิตประชาชนไปเป็นจำนวนมาก หรือก่อนนั้นช่วงปลายปี 2554 ไทยเราเองก็เจอภัยน้ำท่วมใหญ่จนทำให้ภาคกลางลงมาถึงกรุงเทพฯ ประชาชนต้องเผชิญกันถ้วนทั่ว โรงงานแถวพระนครศรีอยุธยาเสียหายกันเป็นจำนวนมาก
หรือล่าสุดปีที่แล้ว พายุดอมเรย ก็พัดเอาฟ้าฝนมาทำลายบ้านเรือนพืชผลทางตอนกลางของเวียดนามล่มจมไปไม่ใช่น้อย ความเสียหายโดยรวมจากภัยต่างๆ แต่ละครั้งนับเป็นจำนวนมหาศาล และคงจะต้องยอมรับว่าปริมาณการช่วยเหลืออันน้อยนิดจากแหล่งใดแหล่งหนึ่งก็คงจะไม่เพียงพอทั่วถึง ในทางปฏิบัติเลยต้องอาศัยเอาความช่วยเหลือจากหลายๆ แหล่งมาผสมกัน เปรียบคล้ายกับการร่วมด้วยช่วยกัน ซึ่งทุกวันนี้ก็มีองค์กรจำพวกนี้อยู่เยอะ ในระดับโลกก็เช่น WFP หรือ World Food Programme ของสหประชาชาติ หรือในอาเซียนเราก็มี AHA Center ซึ่งมีที่ตั้งสำนักงาน ณ กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย
แต่อย่างไรก็ดี องค์กรตัวอย่างข้างต้นส่วนมากมักจะช่วยเหลือผู้ประสบภัยกันด้วยปัจจัยทุกชนิดที่จำเป็น ได้แก่ อาหาร เต็นท์ ที่นอนหมอนมุ้ง เสื้อผ้า หยูกยา ไปจนถึงเงินสด แต่ทว่าแอปเตอร์เราไม่เป็นอย่างนั้น เราจำกัดเฉพาะ “ข้าวเพื่อบริโภค” ทั้งนี้ เพราะเราเห็นว่าประชากรในภูมิภาคนี้ กินข้าวเป็นอาหารหลัก ขณะเดียวกันพื้นที่บริเวณนี้ เราก็ปลูกข้าวเป็นพืชหลักส่วนใหญ่ ดังนั้น ความมั่นคงทางอาหารของพวกเราชาวอาเซียนบวกสาม ก็หมายถึงการมี “ข้าว” กินอย่างเพียงพอ เป็นประการสำคัญ
อย่างที่อธิบายคร่าวๆ ไปแล้วในฉบับแรก ว่าวิธีการช่วยเหลือ “ข้าว” ของแอปเตอร์ มี 3 รูปแบบ คือ รูปแบบ 1 และ 2 จะเป็นเรื่องของการซื้อขาย อาจมีผู้สงสัยว่า ถ้าซื้อขายกัน ทำไมต้องมาจับถือทำข้อตกลงกัน เพราะทุกวันนี้ก็มีการซื้อขายข้าวในตลาดทั่วไป ทั้งรัฐและเอกชนกันมากมายอยู่แล้ว ตรงนี้ กระผมขอตอบทำความเข้าใจเลยว่า ที่ต้องทำความตกลงกันนั้น เขาเน้นการบังคับว่าจะต้อง “ขาย”มากกว่าบังคับ “ซื้อ” ครับ
ที่เป็นดังนี้ เนื่องจากประสบการณ์เมื่อปี 2551 ราคาข้าวในตลาดโลกสูงปรี๊ดข้าวขาว 5% มีราคา สูงถึงตันละกว่า 1,000 เหรียญสหรัฐ ทั้งที่เดิมซื้อขายกันเพียง 250-300 เหรียญสหรัฐ แถมยังมีการกักตุนอีก สถานการณ์เช่นนี้ ก็แน่ละ ประเทศผู้ซื้อหรือผู้นำเข้าข้าวก็เดือดร้อนสิครับ ชาวบ้านปกติซื้อข้าวสารกินกิโลกรัมละ 3 บาท ราคาพุ่งพรวดไปเป็นกิโลกรัมละ 10 บาท ก็หายนะสิครับ ยิ่งอาเซียนเรามีหลายประเทศที่ผลิตข้าวไม่พอกิน เช่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ต้องนำเข้าข้าวเป็นอันดับต้นๆ ของโลก และบางประเทศแทบไม่ผลิตเลย เช่น สิงคโปร์ บรูไน หากเราไม่ช่วยกันตรงนี้ แล้วจะอยู่เป็นเพื่อนกันทำไม
จึงเป็นที่มาของการมีรูปแบบที่ 1 และ 2 ว่า ถ้าหากประเทศหนึ่งประเทศใดของอาเซียนบวกสามเกิดภัยพิบัติ ไม่มีข้าวกิน ก็ใช้สิทธิความตกลงแอปเตอร์ขอซื้อจากประเทศสมาชิกได้ โดยประเทศผู้ถูกร้องขอไม่สามารถปฏิเสธได้ (ตามโควตาที่กำหนด) พิเคราะห์ดูแนวทางนี้ กระผมก็ยอมรับว่า เป็นความคิดที่ยอดเยี่ยม แยบยล ลึกล้ำพอประมาณทีเดียวครับ หมดหน้าพอดียังเล่าไม่หมด ขอมาต่อฉบับหน้าครับ สำหรับพระเอกรูปแบบที่ 3
ชาญพิทยา ฉิมพาลี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี