ผมกำลังพูดถึงการช่วยเหลือขององค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสาม หรือ แอปเตอร์ ที่ว่ามีอยู่ 3 รูปแบบ คือ แบบที่ 1และ 2 เป็นการซื้อขายข้าวเพื่อการบริโภคช่วยเหลือประเทศขาดแคลน ซึ่งอธิบายไปแล้วคร่าวๆ ในฉบับก่อน คราวนี้จะมาพูดถึงรูปแบบที่ 3 ซึ่งเป็นการช่วยเหลือแบบแจกฟรี ว่าที่ผ่านมามีความเป็นไปอย่างไรบ้าง
อยากจะพูดเสียเลยครับว่า ตั้งแต่ตั้งแอปเตอร์มา 7 ปี กิจกรรมของแอปเตอร์เราก็เข้มข้นอยู่เฉพาะรูปแบบนี้แหละครับ และเกือบทั้งหมดอย่างต่อเนื่องสำหรับประเทศผู้บริจาคข้าว ก็คือ ประเทศญี่ปุ่น จะมีประเทศอื่นๆ ที่ร่วมบริจาคอยู่บ้างก็ตอนที่เกิดพายุใหญ่ไห่เยี่ยนที่พัดถล่มตอนกลางของประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อหกปีกว่า ซึ่งตอนนั้นประเทศไทยเราก็ได้ร่วมเป็นผู้บริจาคด้วย และก็กลายเป็นประเทศที่หมัดหนัก แม้นานๆต่อยที กล่าวคือ บริจาคคราวเดียวมากถึง 5,000 ตัน ขณะที่ประเทศอื่นๆ ก็มี เช่น จีนมาเลเซีย ส่วนในตอนหลังๆ ระยะปีสองปีมานี้เกาหลีใต้ ได้เริ่มเข้ามาร่วมเป็นผู้บริจาคด้วย
การบริจาคข้าวในรูปแบบที่ 3 นี้ ความจริงคนที่ออกแบบวิธีการเขาก็คงเห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วน กรณีเมื่อเกิดภัยพิบัติขึ้น เพราะในยามนั้นประชาชนต้องเผชิญกับความอดอยาก ขาดแคลนอาหาร (ข้าว) บริโภค การจะรอให้เกิดภัยก่อนแล้ว จึงเริ่มกระบวนการเสาะแสวงหาประเทศผู้บริจาค ในทางปฏิบัติ ต้องใช้เวลาพอสมควร เพราะกว่าแอปเตอร์จะส่งหนังสือเวียนไปขอความอนุเคราะห์ กว่าที่ประเทศต่างๆ จะพิจารณา รวมทั้งกระบวนภายในจัดหาเงิน หาข้าว รวมทั้งการจัดส่งข้าวไปยังประเทศประสบภัยที่ต้องใช้ทางเรือเดินสมุทรอย่างเดียว กินเวลานานมาก ทั้งยังต้องผ่านขั้นตอนด้านภาษีนำเข้าส่งออกทางศุลกากรอีก จากที่เคยประสบมาใช้เวลายาวนานถึง 6 เดือน สถานการณ์แบบนี้ พูดภาษาชาวบ้านคือ ไม่ทันกินแน่นอน จึงมีการคิดวิธีแก้ไข ซึ่งนอกเหนือจากการพยายามลดขั้นตอนต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว ก็มีการกำหนดวิธีพิเศษ คือ ให้บริจาคข้าวล่วงหน้าได้ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า pre-positioned stockpiled rice ซึ่งเป็นวิธีที่ดีกว่าแบบแรกมากทีเดียว เพราะเป็นการบริจาคและขนส่งข้าวไปเก็บไว้ในโกดังในประเทศที่คาดว่าจะเกิดภัยธรรมชาติล่วงหน้า ซึ่งย่อมจะสามารถนำเอาข้าวที่เก็บไว้นั้นออกมาแจกจ่ายได้ทันทีเมื่อประเทศนั้นประสบภัยพิบัติ ประเทศญี่ปุ่นได้ใช้วิธีบริจาคล่วงหน้านี้มาแต่ยุคเริ่มต้น ขณะที่เกาหลีใต้ได้เริ่มเข้ามาใช้วิธีเดียวกันในระยะสองสามปีมานี้ ทั้งนี้ ปริมาณการบริจาคข้าวล่วงหน้าก็อยู่ที่ ปีละ 500-1,000 ตัน
ถามว่า แล้วที่นำเอาข้าวบริจาคไปเก็บไว้ในโกดังของประเทศใดๆ จะถือว่าข้าวเป็นกรรมสิทธิ์ของประเทศนั้นเลยหรือไม่ เพราะหากประเทศข้างเคียงเกิดภัยพิบัติขึ้นมาก่อน จะขนเอาข้าวที่เก็บไว้นั้นไปช่วยเหลือได้หรือไม่ คำตอบ คือ ตามระเบียบแอปเตอร์ ปกติข้าวที่บริจาคนั้น ก่อนที่คณะมนตรีแอปเตอร์อนุมัติให้แจกจ่ายในประเทศใด ข้าวนั้นถือเป็นกรรมสิทธิ์ร่วมกันของแอปเตอร์ ไม่ใช่เป็นของประเทศผู้เก็บรักษาในโกดัง ดังนั้น เมื่อเกิดกรณีข้างต้น ข้าวที่เก็บไว้ก็อาจถูกนำไปช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยในประเทศอื่นๆ ได้ คำถามมีตามมาอีก คือ แล้วค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาหรือขนส่งเพิ่มเติมใครจ่ายล่ะ เพราะผมเก็บข้าวไว้ แต่เวลาเกิดภัยกลับไม่ได้ใช้ประโยชน์เลย ตอบว่า ตามระเบียบ ประเทศผู้ได้ประโยชน์ หรือ ที่ประสบภัยและได้ข้าวไปแจกประชาชนนั่นเองที่จะต้องเป็นผู้จ่าย ก็นับว่าเป็นธรรมดีครับ สำหรับการกำหนดแบบนี้ แต่ก็ยังมีอีกครับ ที่มีกรณีปลีกย่อยเกิดขึ้นอีก เช่น ข้าวที่ส่งไปเก็บไว้นั้น ต้องเก็บไว้นานเท่าใด ยิ่งเก็บนานยิ่งเสียค่าใช้จ่ายมาก หรือ ข้าวเสื่อมสภาพลงไปจนบริโภคเป็นอาหารไม่ได้ หรือกรณีเก็บไว้ที่หนึ่งแต่เกิดภัยอีกที่หนึ่ง ขณะที่เงินค่าโลจิสติกส์ต่างๆ ก็ไม่มี จะมีทางออกอย่างไร ขอยกไปคุยในฉบับหน้าอีกสักฉบับก็แล้วกันครับ สวัสดีครับ
‘ชาญพิทยา ฉิมพาลี’
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี