ในขณะที่ปี่กลองการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรดังกระหึ่มขึ้นทุกที พรรคต่างๆ ก็หยิบเอานโยบายขายฝันบ้าง ขายความตั้งใจบ้างมาเรียกคะแนน หรือโยนหินถามทางไปเรื่อยๆ ส่วนใหญ่เน้นไปในเรื่องเศรษฐกิจ และสุขภาพอนามัยของประชาชนที่ดูดี แต่ถึงเวลาจริงๆ ทำได้หรือไม่ค่อยว่ากัน....
ไม่เห็นพรรคไหนหยิบยกเรื่องการเกษตรมาชูเป็นนโยบายสำคัญของพรรค ทั้งๆ ที่การเกษตร คือ เศรษฐกิจของชาติอย่างแท้จริง เพราะการเกษตรคือ ปากท้องของประชาชน คือ รายได้หลักของประเทศ คือ สิ่งที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นข้อตกลงทางการค้า กฎ กติกาสากล ความร่วมมือระหว่างประเทศ ระหว่างภูมิภาค และอื่น ๆ
วันก่อนได้ฟังเสวนาสาธารณะ เรื่อง “มองเมืองไทย ให้ไกลกว่าได้เลือกตั้ง” ซึ่งจัดขึ้นที่ อสมท ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระ บอกว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย (ที่รัฐบาลคุยนักหนาว่าเศรษฐกิจของไทยเราเติบโตดี) มีตัวเลขมาให้ดูหรูๆ 3.8% นั้น เป็นอันดับเกือบบ๊วยของอาเซียน ชนะบรูไนเพียงประเทศเดียว
พร้อมนี้ ดร.สมชายยังสะกิดให้คิดถึงภูมิภาคอาเซียน ว่าประเทศไทยอยู่ในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ซึ่งชาวประชาต่างรู้ว่าเราเข้าสู่ AEC เมื่อปี 2015 แต่ AEC จะร่วมมือกันไปถึงปี 2025มีข้อตกลงมากมายที่ไทยต้องดำเนินการเพื่อไม่ให้เสียเปรียบด้านการค้า มาตรฐานสินค้าและกำแพงภาษี แต่ดูเหมือนนักการเมือง และพรรคการเมืองที่กำลังหาเสียงกันอยู่ในขณะนี้ไม่ได้ให้ความสนใจสักเท่าไร
ทำให้ต้องหวนคิดถึงเมื่อปี 2015 หรือ พ.ศ. 2558 ที่มีการประชาสัมพันธ์การเข้าสู่ AEC จนอะไรๆ ก็ AEC ไปหมด แม้แต่โรงเรียนในต่างจังหวัด ก็ยังสอนให้เด็กรู้จัก AEC ด้วยการแต่งกายเป็นชุดประจำชาติของประเทศต่างๆ ในอาเซียน แต่ไม่ได้มุ่งเน้นให้รู้จักว่า AEC คืออะไร มีความสำคัญอย่างไร และจะมีผลกระทบกับประเทศในด้านใดบ้าง
ดร.สมชายยังพูดถึง AFTA หรือ เขตการค้าเสรีอาเซียน ซึ่งเป็นข้อตกลงที่เกิดขึ้นเมื่อปี 1992 หรือ ปี พ.ศ. 2535 ตามข้อเสนอของผู้นำมาเลเซีย จากข้อตกลงนี้มาเลเซียทำการโซนนิ่งพื้นที่การเกษตรใหม่ เลิกปลูกยางพารา ให้เกษตรกรปลูกปาล์มน้ำมันแทน โดยมองว่าอีก 10 ปีข้างหน้า มาเลเซียจะเปลี่ยนจากผู้ปลูกยาง มาเป็นการลงทุนด้านอุตสาหกรรมแปรรูปยางและจะนำเข้ายางพาราจากไทย ซึ่งมาเลเซียก็ทำได้ตามนั้น....
ถึงวันนี้วันที่ยางพาราราคาตกต่ำ มาเลเซียนั่งยิ้มเพราะไม่มีผลผลิตยางมากมายที่ต้องมาปวดหัวแก้ปัญหาเหมือนอย่างที่รัฐบาลไทยกำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ ส่วนปาล์มน้ำมัน ซึ่งมาเลเซียกลายมาเป็นผู้ผลิตรายใหญ่นั้น แม้แนวโน้มราคาในช่วงปลายปีที่ผ่านมาจะต่ำลง แต่มาเลเซียก็ยังเอาอยู่ ผิดกับของไทย ที่ทั้งยางและปาล์มน้ำมันทำเอากระทรวงเกษตรฯ ระส่ำไปเหมือนกัน
ผู้ร่วมเสวนาอีกท่านหนึ่ง คือ ดร.วรชาติ ดุลยเสถียร อุปนายกสมาคมคนไทยธุรกิจเกษตร ผู้เชี่ยวชาญด้านโซ่อุปทานด้านการเกษตร CLMV พูดถึง ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ว่า แตะเรื่องของการเกษตรน้อยมาก พร้อมกับย้อนไปถึงข่าวที่ฮือฮากันมากเมื่อเดือนเมษายน ปีที่แล้ว เมื่อแจ๊ค หม่า มาเมืองไทย และทิ้งร่องรอยของความเป็นผู้นำด้านการตลาดออนไลน์ไว้ ด้วยการสั่งซื้อทุเรียนหมอนทองของไทยไปถึง 80,000 ผล ภายในเวลา 1 นาที เรียกว่าข่าวนี้ยึดพื้นที่สื่อไปเกือบหมด
รัฐบาลก็หน้าบาน คิดว่าเป็นความสำเร็จ แถมยังตั้งความหวังไว้ว่าสินค้าเกษตรของไทยต้องพยายามทำตลาดออนไลน์ให้ได้แบบนี้ แต่ ดร.วรชาติ เปิดเผยว่า ทุเรียน 80,000 ผลนั้น จุแค่ 8 ตู้คอนเทนเนอร์ เท่านั้น จริงๆ แล้ว ไทยเราขายทุเรียนวันละ 180-200 ตู้คอนเทนเนอร์ และก็ไม่รู้ว่ากระบวนการในการรวบรวมผลผลิตทุเรียน 80,000 ผลนั้น ทำกันอย่างไร เกิดขึ้นจริงหรือไม่ ไม่มีใครยืนยัน...
ที่สำคัญคือ ใน CLMV คือ กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม ต่างก็ปลูกทุเรียนหมอนทอง และส่งขายในประเทศจีนเหมือนกัน ไม่น่าห่วงว่าประเทศเหล่านี้จะเป็นคู่แข่งของไทย แต่ห่วงเรื่องคุณภาพของทุเรียนหมอนทองไม่ดีเท่าของไทย แต่ผู้บริโภคชาวจีนจะไม่รู้ว่าหมอนทองนั้นมาจากประเทศไหน ซึ่งอาจจะสร้างปัญหาให้กับหมอนทองของไทยได้ถ้าไม่หาทางป้องกัน เพราะทุกวันนี้ทุเรียน เป็นไม้ผลที่ทำรายได้ให้กับประเทศกว่าปีละ 3 หมื่นล้านบาท
นี่เป็นปัญหาส่วนหนึ่ง ของภาคการเกษตร ภาคการผลิตที่พรรคการเมืองไม่ไยดี จนกว่าจะได้มาเป็นรัฐบาลถึงจะรู้ว่าภาคการเกษตรนั้นไม่สนใจไม่ได้แล้ว......
แว่นขยาย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี