ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ขับเคลื่อนธนาคารปูม้าสู่ชุมชน ร่วมกับกรมประมง กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ธนาคารออมสิน บริษัทประชารัฐสามัคคี บริษัทไปรษณีย์ไทย และกระทรวงพาณิชย์ โดยขยายผลให้ได้ 500 ธนาคาร ภายใน 2 ปี วช. จึงได้สนับสนุนทุนกิจกรรมภายใต้โครงการการจัดการความรู้และถ่ายทอดเทคโนโลยีจากผลงานวิจัยและนวัตกรรม ให้กับหน่วยงานวิจัยต่างๆ โดยได้รับความร่วมมือจากสถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการพัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยีการเพาะพันธุ์และการผลิตลูกปูม้าขนาดการผลิต (mass production) ที่เพิ่มอัตราการรอดของลูกพันธุ์ปูม้าที่ได้จากการสลัดไข่ของแม่ปูม้า รวมถึงอัตราการรอดของลูกพันธุ์ปูม้าที่ปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ

ทั้งนี้ ได้จัดตั้งธนาคารปูม้าบนบกโดยความร่วมมือของชุมชนในพื้นที่เกาะสีชังจำนวน 22 ธนาคารและต้นแบบธนาคารปูม้าประจำต.แสนสุข อ.เมือง จ.ชลบุรี 3 ธนาคาร และเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2562 ได้ทำการเปิดศูนย์เรียนรู้ธนาคารปูม้าชุมชนบนบกขึ้น ณ ศูนย์เรียนรู้ธนาคารปูม้าชุมชนบนบก อ.เกาะสีชัง จ.ชลบุรี โดยมี ศ.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล เลขาธิการ วช. เป็นประธาน

ศ.นพ.สิริฤกษ์ กล่าวว่า ศูนย์เรียนรู้ธนาคารปูม้าชุมชนบนบก นอกจากจะใช้เป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ของผู้ที่สนใจแล้ว ยังเป็นศูนย์กลางรวบรวมเทคโนโลยีการบริการวิชาการสู่กลุ่มเป้าหมายระดับชุมชน ตลอดจนนักวิชาการ นิสิตนักศึกษา ตอบสนองนโยบายของรัฐบาลในการฟื้นฟูทรัพยากรปูม้า สำหรับแม่ปูม้า 1 ตัว จะผลิตไข่ได้ราว 1 ล้านฟองและฟักไข่ให้ลูกปูกว่า 500,000 ตัว หรือร้อยละ 50จากนั้นเมื่อนำกลับไปปล่อยคืนสู่ทะเล จาก 1,000 ตัว จะมีอัตราการรอดของลูกปูม้าเพียง 1 ตัว หรืออีกนัยหนึ่งคือจากแม่ปูม้า 1 ตัว จะมีลูกปูม้าอยู่รอด 500 ตัว ถ้าปูม้าขนาด 5 ตัว น้ำหนัก 1 กก. หากชาวประมงจับปูม้าได้ 100 กก. ขายกก.ละ 400 บาท จะมีรายได้ 40,000 บาท ซึ่งเท่ากับทองหนักสองบาท ถือเป็นรายได้ที่ดีมาก แม่ปูม้าหนึ่งตัวสามารถสร้างทองคำในทะเลถึงสองบาท ถ้าหากปล่อยจำนวนมากขึ้น ก็เท่ากับเพิ่มขุมทรัพย์ทางทะเลให้ชาวประมง

“ได้รับมอบหมายให้ขับเคลื่อนธนาคารปูม้าไปทั่วประเทศ ซึ่งปี 2561 วช.วางเป้าหมายไว้ 300 แห่ง ปรากฏว่าทำได้ 379 แห่ง ถือว่าเกินเป้าที่ตั้งไว้ ส่วนงานวิจัยต่อไปคือเน้นให้อัตรารอดมากขึ้น” เลขาธิการสช.กล่าว