ช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสไปร่วมงานเลี้ยงหลายงาน ในหลายๆ กลุ่มคน เป็นธรรมเนียมปฏิบัติหรืออย่างไรก็ไม่อาจทราบได้ ผู้ที่เข้าสู่วัยอาวุโสเช่นผมมักจะได้รับเชิญให้ไปกล่าวคำอวยพรปีใหม่ หรือกล่าวอะไรก็ได้ที่อยากจะกล่าวในงานเช่นนี้เสมอ ซึ่งก็นับว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้รับฟังข้อคิดเห็นและแนวคิดของหลายๆ ท่าน การเป็นผู้ฟังทำให้เราได้รับทราบแนวคิดที่แตกต่างไปจากมุมเดิมๆ ที่เราเป็นอยู่
หนึ่งในงานปีใหม่ที่ผมได้เข้าร่วม คือ งานของอดีตผู้บริหารธนาคารของรัฐแห่งหนึ่ง และมีอยู่ท่านหนึ่งเสนอความเห็นได้กระทบใจผมมาก ท่านได้กล่าวถึงนโยบายของรัฐที่มีต่อการพัฒนาการเกษตรของประเทศ สะท้อนความเป็นจริงของปี่กลองทางการเมืองที่กำลังโหมโรมอยู่ในปัจจุบัน นโยบายที่กล่าวสั้นๆว่า “นโยบายเลี้ยงไว้ไม่ให้โต”
เมื่อย้อนกลับไปพิจารณานโยบายของภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาทางการเกษตร ในทุกครั้งที่มีการหาเสียงเลือกตั้ง มักจะยกความอยู่ดีกินดีของเกษตรกรมาเป็นเป้าหมายการพัฒนาเสมอ ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยใด เพราะนักการเมืองมองทะลุว่าฐานเสียงที่สำคัญคือ เกษตรกร เกษตรกรที่พร้อมจะเชื่อมั่นต่อนโยบายที่ให้ผลประโยชน์เฉพาะหน้าในช่วง 3-4 ปี ของแต่ละกลุ่มก้อนทางการเมืองได้มีโอกาสเข้ามาบริหารประเทศนำเสนอ ทั้งนโยบายการประกันราคา นโยบายการรับซื้อข้าวทุกเมล็ด หรือนโยบายสินเชื่อเกษตรกรในรูปแบบต่างๆ
จะว่าไปแล้ว นโยบายเหล่านี้ เมื่อฝ่ายที่เสนอนโยบายได้เข้ามาบริหารประเทศ ก็มักจะผลักดันให้เกิดภาพที่สมบูรณ์ โดยที่เนื้อในไม่ได้ตอบโจทย์ความอยู่ดีกินดีเท่าใดนัก เกษตรกรผู้ที่ตกเป็นเครื่องมือของนโยบาย กลายเป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง และรอคอยความหวังใหม่ๆ จากกลุ่มก้อนทางการเมืองใหม่ๆ อีกต่อไป และต่อไป โดยไม่สามารถหลุดพ้นไปจากวังวนนี้ได้ เรียกได้ว่า ถูกเลี้ยงไว้ไม่ให้โต นั่นเอง
ประสบการณ์ที่ผมประสบเอง กรณีของบัตรที่รัฐออกให้เกิดขึ้นในคราวที่ผมมีโอกาสได้ไปตรวจเยี่ยมการใช้บัตรในพื้นที่จังหวัดแห่งหนึ่งในภาคอีสาน เกษตรกรซึ่งเป็นหญิงสูงวัยเดินทางมาร้านจำหน่ายปัจจัยการผลิตทางการเกษตร เพื่อซื้อปุ๋ยไปใส่ในนาข้าว ผ่านกระบวนการใช้จ่ายผ่านระบบบัตรดังกล่าว ด้วยความสนใจผมเลยเข้าไปคุยด้วยว่าใช้ปุ๋ยอะไรในนาข้าวและตอนนี้ข้าวที่ปลูกอยู่ในระยะใด เกษตรกรรายนั้นตอบผมมาว่าใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ในนาข้าวระยะแตกกอตามที่ร้านค้าจัดให้ พอได้ฟังคำตอบ ผมถึงกับยืนอึ้งไป เพราะปกติแล้วปุ๋ยสูตรนี้นับว่าเป็นปุ๋ยที่มีราคาค่อนข้างสูง และใช้สำหรับพืชสวนเป็นหลัก ไม่มีคำแนะนำให้ใช้ในนาข้าว มันก็แปลกดี แต่เมื่อผมทบทวนแล้ว ผู้ที่ได้ประโยชน์จากการขายปุ๋ยสูตรนี้ให้เกษตรกร คงหนีไม่พ้นร้านจำหน่ายปัจจัยการผลิต และผู้ที่เกี่ยวข้องกับการค้าปุ๋ย ในขณะที่เกษตรกรรายดังกล่าว ต้องรับสภาพกับการใช้ปุ๋ยที่ไม่ถูกสูตร ไม่ถูกวิธี ไม่ถูกเวลากันไป ผลตอบแทนที่ได้จากการทำนาด้วยการลงทุนใช้ปัจจัยการผลิตที่ไม่ถูกต้อง คงไม่ต้องพูดอะไรกันมาก วัยรุ่นสมัยนี้เขาเรียกว่า ไม่พูดมาก เจ็บคอ
ในท่ามกลางนโยบายเลี้ยงไว้ไม่ให้โต ยังมีเกษตรกรอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งตัดขาดจากนโยบายดังกล่าว สามารถยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตนเอง พัฒนาการเกษตรบนพื้นฐานของความรู้ โดยไม่หวังพึ่งนโยบายขายฝันจากกลุ่มก้อนนักการเมือง เกษตรกรกลุ่มนี้จึงสามารถเติบโตในอาชีพของตนเอง ไม่ว่านโยบายจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร โดยส่วนตัวแล้ว ผมชื่นชมกับวิธีคิดของเกษตรกรกลุ่มนี้มาก ผมไม่ขอฟันธงว่าเกษตรกรกลุ่มนี้เป็นเกษตรกรรุ่นใหม่ หรือเป็นเกษตรกรรุ่นเก่า เพราะเท่าที่ผมได้สัมผัสอายุไม่ได้เป็นอุปสรรคในการพัฒนาให้หลุดพ้นจากวงจรเลี้ยงไว้ไม่ให้โต มันขึ้นกับว่าจะเรียนรู้เพื่อเปลี่ยนแปลง หรือ เรียนรู้ด้วยความเคยชิน
ปี่กลองการเมืองเริ่มแล้ว เราจะยอมเลี้ยงไม่โต หรือ เราจะโตกันเสียที
สมชาย ชาญณรงค์กุล
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี