4 มี.ค.62 นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้สั่งการด่วนทุกจังหวัดรับมือสถานการณ์แล้งที่เริ่มขึ้นแล้ว ในระหว่างประชุมทางไกลกับ 76 จังหวัด ว่า ทุกพื้นที่ให้ความสำคัญสูงสุดในการจัดทำแผนบริหารจัดการน้ำแล้ง โดยกรมชลประทาน เป็นเจ้าภาพหลักในการทำแผนใช้น้ำตลอดฤดูแล้งนี้อย่างเข้มข้น แม้ว่ากรมชลฯ จะยืนยันหลายครั้งว่าปริมาณน้ำในเขื่อนมีใช้เพียงพอถึงเดือน ก.ค.แต่จากที่ตนประสานกับสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ หรือจิสด้า และสำนักงานสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (สสนก.) ทั้งสองแห่งให้ข้อมูลกับตน ทำให้ต้องเร่งรับมือภัยแล้งตั้งแต่เดือน มี.ค.โดยระบุว่าแม้ปริมาณน้ำชลประทานเพียงพอ แต่ภาวะแล้งแห้งครั้งนี้มีมีองค์ประกอบ 2 ประการ คือ ภัยแล้งจะนานขึ้น และอากาศร้อนมากขึ้นกว่าหลายสิบปีที่ผ่านมา โดยจัดตั้งคณะกรรมการบริหารน้ำส่วนกลาง หรือวอร์รูม รายงานสถานการณ์น้ำทุกวันจันทร์ โดยจะเริ่มสัปดาห์หน้า พื้นที่ใดพอ ไม่พอ จัดทำแยกเขต แบ่งพื้นที่วิกฤตสุด ปานกลาง ประสานงาน กับจิสด้า , สนนก. , ปภ. , หน่วยความมั่นคง และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สนนช.) ด้วย
"สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงรับสั่งกับตนว่า ปีนี้จะแล้งนานและแล้งมาก ตนจึงขอให้พื้นที่ดูข้อมูล ทั้ง จ.ศรีสะเกษ , จ.สกลนคร และ จ.สุรินทร์ ซึ่งพระองค์ท่านจะทรงเสด็จฯ ไปทรงงาน เจ้าหน้าที่เกษตรเตรียมข้อมูลรับเสด็จฯ เป็นความโชคดีของคนไทย ที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ทรงดูแลอาณาประชาราษฎร์ ดังนั้น หน่วยราชการก็ต้องทำแผนประหยัดน้ำที่เป็นรูปธรรมด้วย ปรับรูปแบบการประสัมพันธ์แจ้งต่อประชาชนทั่วประเทศใหม่ทั้งหมด เตือนประชาชนเล่นน้ำสงกานต์อย่างพอดี
ส่วนกรมฝนหลวงฯ ต้องปฏิบัติการให้เห็นเป็นมรรคเป็นผล ขึ้นทำฝนเมื่อไหร่ พื้นที่ไหนสำเร็จบ้าง เพราะแล้งปีนี้จะเจอกับอากาศร้อนมากขึ้น ทำให้น้ำระเหยขึ้นไปมาก รวมทั้งดึงความชื้นดินไปด้วย ส่งผลความร้อนและความแล้งยาวนานกว่าทุกปี เรื่องเหล่านี้ขอเตือนข้าราชการกระทรวงเกษตรฯ ต้องรู้ให้ละเอียด ถ้าคนรู้งาน จะรู้ต้นเหตุของปัญหา ไปสู่การทำงาน มีแผนแก้ไขอย่างไร มีมาตรการทำได้แค่ไหน ขอให้จำไว้ เวลาฟังจากใคร ต้องมาอธิบายกับตนได้ด้วย
สำหรับประเด็นที่อธิบดีกรมชลประทาน ยืนยันน้ำมีใช้ไปถึงเดือน ก.ค.ต้องยืนยันว่า ต้องแยกเป็น 4 ประเภท คือ น้ำกิน-น้ำใช้ , น้ำเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม , น้ำเพื่อการเกษตร และอุตสาหกรรม เพราะฉะนั้นทุกจังหวัดร่วมกันทำแผนใช้น้ำอย่างจริงจังกับชลประทาน ทุกพื้นที่ในเขตและนอกเขตชลประทาน ชลประทานจังหวัด เกษตรจังหวัด พัฒนาที่ดิน โดย3 หน่วยงานต้องรู้สถานการณ์น้ำอย่างดี น้ำในแหล่งธรรมชาติ น้ำกักเก็บ มีเท่าไหร่ บริหารจัดการได้ถึงเมื่อไหร่ หากไม่รู้ ปลัดกระทรวงเกษตรฯ ต้องรับผิดชอบ" นายกฤษฎา กล่าว
รมว.เกษตรฯ กล่าวว่า กลไกหลักเชื่อมโยงจากส่วนกลางไปจังหวัด ผ่านคณะอนุกรรมการพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ทุกจังหวัด (อกพ.) ที่มีผู้ว่าราชการ หรือรองผู้ว่าฯ เป็นประธาน เพื่อประสานกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ประเมินปริมาณน้ำ น้ำมีเท่าไหร่ อยู่ที่ไหน จำนวนประชาชน พื้นที่เกษตร ที่ใช้น้ำมีเท่าไหร่ คาดการณ์อย่างไร หากฝนไม่มาภายในเดือน ก.ค.ต้องมีแผนเผชิญเหตุไว้รองรับวิกฤต
"ทุกจังหวัดต้องสรุปสถานการณ์น้ำให้ผู้ว่าราชการจังหวัดได้รู้ว่ามีน้ำเท่าไหร่ มีใช้ถึงเมื่อไหร่ เพื่อสั่งการทันท่วงที โดยให้ทั้งจังหวัดมีความตื่นตัว สร้างการรับรู้ชาวบ้านร่วมกันใช้น้ำอย่างประหยัด และหากสถานการณ์น้ำถึงขั้นวิฤกต จะแก้ไขบรรเทาภัยแล้งความเดือดร้อนประชาชนอย่างไร เช่น ทำสำรวจเครื่องมือ เครื่องสูบน้ำ รถแจกจ่ายน้ำ ทำบัญชีไว้ทั้งหมดทุกจุด หน่วยไหนมีเท่าไหร่ แต่ละเทศบาลเท่าไหร่ ดูภารกิจเฉพาะหน้า เช่น ไปเติมการประปา หอถังสูง เตรียมเครื่องสูบน้ำไปวางจุดเสี่ยง ในบัญชีต้องบอกรายละเอียดลงรายพื้นที่ จัดแบ่งพื้นที่ความรับผิดชอบประจำเครื่องมือ กระจายตามพื้นที่ทำให้เรียบร้อยก่อนเกิดภัย" นายกฤษฎา กล่าว
ทั้งนี้ ได้แต่งตั้งคณะกรรมการติดตามสถานการณ์น้ำแล้ง โดยมีปลัดกระทรวงฯ เป็นประธาน เร่งทุกหน่วยงานชี้แจงเกษตรกรปลูกพืชใช้น้ำน้อย มอบหมายเกษตรอำเภอทุกอำเภอ เป็นหลัก ขอความร่วมมือนายอำเภอ กระจายข่าวใช้เสียงตามสาย 7 หมื่นกว่าหมู่บ้าน
"กระทรวงเกษตรฯ ต้องแสดงศักยภาพให้เด่นชัด และกรมชลฯ ขอพูดตรงๆ ได้เงินรัฐบาลไปเป็นหมื่นๆ ล้านบาทต่อปี มาบอกว่าเป็นงบของปีนั้นปีนี้ สังคมฟังไม่ขึ้น เพราะใช้งบจัดซื้อจัดจ้างมากที่สุด ต้องกระตื้อรื้อรน กระวีกระวาดลงไปดูแลชาวบ้านเรื่องน้ำอย่างทั่วถึง ผมเป็นรัฐมนตรีมา 14 เดือน สามารถพูดงานของกระทรวงเกษตรฯ จนถึงระดับตำบล - อำเภอ แต่ปลัดกระทรวงฯ ทำงานเกษตรมามากกว่าผม ต้องรู้ดี รู้จริงมากกว่าผม ต้องรู้ให้รอบคอบ สั่งผู้ตรวจราชการ 14 ท่าน ลงพื้นที่ไป ดูพฤติกรรมข้าราชการ คนไหนไม่ขยัน ละเลย ไม่อดทน ย้ายออกมา สลับคนทำงานเข้าไป รัฐบาลนี้มีอำนาจแต่งตั้งโยกย้ายจนกว่ามีพระบรมราชโองการแต่งตั้งรัฐบาลใหม่ ขอกระตุ้นเตือนข้าราชการ พรรคการเมืองทุกพรรคเอาเรื่องเกษตรไปหาเสียง เหมือน รมต.เกษตรฯ ปลัดเกษตรฯ นั่งหัวทนโท่ไม่ทำงานทำการกัน ผมเจ็บปวด และอย่ามาอธิบายให้ผมฟังว่าอยู่เกษตรจะโดนแบบนี้ เราต้องพิสูจน์ทำให้สังคมเห็นคนกระทรวงเกษตรฯ ไม่เหมือนเดิม เปลี่ยนไปแล้ว ซึ่งกรมชลประทาน เวลาทำงานให้หลับตา ระลึกถึงในหลวงรัชกาลที่ 9 ในการช่วยเรื่องน้ำแล้ง ทรงพระราชทานทฤษฎี ทำเหมือง ทำฝายมีชีวิต ขอให้กรมชลฯ กรมพัฒนาที่ดิน ไปคุยกับผู้ว่าฯ หางบเหลือจ่าย งบพัฒนาจังหวัด มาทำฝายมีชีวิตในพื้นที่ที่ยังมีตาน้ำไหลริน กักน้ำ ทำคลองไส้ไก่ ให้ชาวบ้านไว้ได้ใช้ช่วงแล้ง
ด้าน นายทวีศักดิ์ ธนเดโชพล รองอธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า ฤดูฝนที่ผ่านมาไม่ได้ปล่อยน้ำจากเขื่อนมากไป ยืนยันบริหารน้ำมีเจ้าภาพหลัก คือ สนนช.การกักเก็บน้ำได้ประเมินล่วงหน้า 1 ปี เช่น เขื่อนแก่งกระจาน และเขื่อนที่รับน้ำพายุปาบึก ใช้ระดับกักเก็บของอ่างเครื่องที่เหมาะสมตามหลักวิชาการ ทั้งนี้ มีน้ำเพียงพอใช้ตลอดฤดูแล้ง ภาพรวมเขื่อนใหญ่ 35 แห่ง เขื่อนกลาง 200 แห่ง บริหารน้ำ 2.7 หมื่นล้าน ลบ.ม.ใช้ช่วงฤดูแล้ง 7 พันล้าน ลบ.ม. และสำรองไว้ก่อนเข้าฤดูฝน มีน้ำ 2 หมื่นล้าน ลบ.ม.พอใช้ไว้อีก 3 เดือน ซึ่งปริมาณน้ำดีกว่าปี 58 - 59 แต่ต้องขอเกษตรกรอย่าปลูกข้าวต่อเนื่อง ในลุ่มน้ำเจ้าพระยาปลูกเกินแผนกว่า 5 แสนไร่ ขณะนี้ระบายผ่านท้ายเขื่อนเจ้าพระยา 80 ลบ.ม.ต่อวินาที เมื่อชาวนาเก็บเกี่ยวข้าวแล้วให้หยุดทำนาปรังรอบ 2 และ 6 เขื่อนน้ำน้อยกว่าเกณฑ์ เช่น เขื่อนอุบลรัตน์ , เขื่อนลำนางรอง , เขื่อนลำพระเพลิง , เขื่อนทับเสลา , เขื่อนกระเสียว และเขื่อนแม่มอก ห้ามทำนาปรังบริเวณลุ่มน้ำชี-มูล กว่า 1.8 แสนไร่
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี