8 มี.ค.62 รศ.ดร.เอกชัย กี่สุขพันธ์ ประธานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(ประธาน กพฐ.) กล่าวภายหลังประชุมคณะกรรมการ กพฐ.ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาถึงการปรับการเรียนการสอนหลักสูตร English Program(EP)และ Mini English Program(MEP) เพื่อให้มีคุณภาพตามข้อกำหนดของหลักสูตร ซึ่งที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)มีสถานศึกษาเข้าร่วมโครงการ International Program(IP) และใช้หลักสูตรนานาชาติจำนวน 19 แห่ง และมีโรงเรียนใช้หลักสูตรภาษาอังกฤษ English Program(EP) และ Mini - English Program (MEP)ในการจัดการเรียนการสอนทั่วประเทศ 400 แห่ง ส่วนครูต่างชาติที่เข้ามาสอนวิชาภาษาอังกฤษก็ขึ้นอยู่กับแต่ละโรงเรียนจะจ้างมาสอนเอง บางแห่งไม่มีการตรวจสอบและประเมินคุณภาพครูอย่างจริงจัง ดังนั้น เพื่อให้การเรียนการสอนหลักสูตร IP ,EP , MEP เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ที่ประชุม กพฐ.จึงได้พิจารณาทบทวนและพัฒนากรอบแนวคิดการดำเนินงานตามหลักสูตร และได้ออกคู่มือกรอบการดำเนินการหลักสูตรเพื่อให้ได้คุณภาพเทียบเท่าระดับสากล โดยโรงเรียนจะต้องจัดการเรียนการสอนตามกรอบการดำเนินงานตามหลักสูตรอย่างถี่ถ้วน เข้าใจเป้าหมายการพัฒนาระดับความสามารทางภาษาอังกฤษของผู้เรียน คุณสมบัติของครูที่จะมาสอน และการประกันคุณภาพของหลักสูตร
“ประกาศกระทรวงในอดีต หลักสูตร EP ให้โรงเรียนใช้วิชาตามหลักสูตรภาษาไทย แต่ให้สอนเป็นภาษาอังกฤษ ปัญหาคือเมื่อเด็กเรียนวิชา เคมี ชีวะ ฟิสิก ภูมิศาสตร์ ที่สอนเป็นภาษาอังกฤษ แต่พอเด็กไปสอบเด็กใช้ภาษาไทยสอบ จึงทำให้เด็กเรียนหนักทั้งสองภาษา ดังนั้น กพฐ.จึงมองว่า EP ในอดีตควรจะปรับเป็น Intensive English Program (IEP) คือให้เข้มด้านภาษาอังกฤษ ส่วนวิชา เคมี ชีวะ ฟิสิก จะเรียนเป็นภาษาไทยก็ได้ เพราะจะทำให้เด็กเรียนเข้าใจง่ายกว่าภาษาอังกฤษ แต่ให้เน้นเรียนวิชาภาษาอังกฤษเพิ่มขึ้น เพื่อให้เด็กสามารถใช้ภาษาอังกฤษเก่งขึ้น และเด็กที่จะเรียนหลักสูตร IEP จะต้องมีความสามารถด้านภาษาอังกฤษอยู่ในระดับ B2 หรือสูงกล่าระดับ B1
ส่วนโรงเรียน International Program(IP) เดิมที่มีอยู่ 19 แห่ง ที่เขียนว่า International Program และ Education Hub ความจริงก็ไม่ใช่ Education Hub เพราะใช้หลักสูตร IP ของ London University เช่นหลักสูตร peasoun Cambridge เข้ามาใช้ และจริงๆใช้เพียง 17 แห่งไม่ใช่ 19 แห่ง ส่วนอีก 2 แห่ง สอนแบบไม่เต็มหลักสูตร ซึ่งเด็กที่เรียนหลักสูตร IP เมื่อเรียนจบแล้วสามารถไปเรียนต่อต่างประเทศได้เลย แต่ในประเทศไทยจบแล้วไปต่อต่างประเทศไม่ได้ เนื่องจากมีการเรียนการสอบแบบไทย
รศ.ดร.เอกชัย กล่าวต่อว่า ขณะนี้ที่ประชุม กพฐ. ได้ตั้งคณะอนุกรรมการ ขึ้นมาพิจารณาทบทวนหลักสูตรใหม่ทั้งหมด มี 3 ชื่อ ได้แก่ หลักสูตร International Program (IP) ซึ่งโรงเรียนสามารถใช้หลักสูตรต่างประเทศมาสอนวิชาเคมี ชีวะ ฟิสิก ได้ และเมื่อเรียนจบแล้วเด็กสามารถไปเรียนต่อต่างประเทศได้ตามเกณฑ์ ส่วนหลักสูตร Intensive English Program (IEP) จากที่เคยสอนหลักสูตรไทยเป็นภาษาอังกฤษ ก็ให้ปรับการสอนวิชาภาษาอังกฤษให้เข้มขึ้น และเพิ่มชั่วโมงเรียนวิชาภาษาอังกฤษมากขึ้น ส่วนจะสอนเป็นภาษาอังกฤษในบางวิชาบ้างก็แล้วแต่ ซึ่งหลักสูตรนี้จะเปิดให้โรงเรียนเก็บเงินค่าใช้จ่ายตามระบบ EPเดิมที่กระทรวงศึกษาฯที่กำหนดจำนวน 3.5 หมื่นบาท แต่ถ้าโรงเรียนใช้หลักสูตร IEPโรงเรียนก็จะต้องสอนอย่างมีคุณภาพและต้องประเมินเด็กตอนจบให้ได้ขั้นต่ำภาษาอังกฤษตามระดับที่กำหนด และหลักสูตร General English Program(GEP)(English For All) เป็นหลักสูตรที่นักเรียนไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม แต่โรงเรียนต้องใช้ครูภาษาอังกฤษที่มีความรู้ความสามารถมากขึ้น ดังนั้น เด็กที่ต้องการเก่งภาษาไม่ต้องไปเรียน EP เพราะโรงเรียนจะสอนภาษาอังกฤษเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมา กระทรวงศึกษาฯจัดโครงการอบรมครูภาษาอังกฤษ หรือ (อิงลิช บูธแคมป์) โดยมีครูผ่านการอบรมไปแล้ว 10,000 คน และเหลืออบรมอีก 1 รุ่น ดังนั้น จึงมีครูที่มีความสามารถในการสอนภาษาอังกฤษกระจายอยู่ทั่วประเทศ โรงเรียนจึงไม่จำเป็นต้องไปเก็บเงินเด็กเพิ่ม
“ผมเสนอในที่ประชุม กพฐ.ว่า ให้กระทรวงศึกษาเปิดเวบไซต์ เพื่อให้ครูต่างชาติที่จะเข้ามาสอนภาษาอังกฤษ สามารถเข้าไปช็อปเวบไซต์ได้โดยตรง และในเวบไซต์ก็จะมีการบันทึกข้อมูลครูแต่ละคนไว้ หากสพฐ.ต้องการใช้ครูต่างชาติในวิชาใด ก็เปิดเข้าไปในเวบไซต์ของกระทรวง เป็นการติดต่อกันโดยตรง โรงเรียนไม่ต้องเสียเงินจ้างเอเจนซี่จักหาครูต่างประเทศให้ และให้ สพฐ.ที่เปิดหลักสูตร EP, MEP ทบทวนว่าได้มาตรฐานตามหลักสูตรที่เปิดหรือไม่ ส่วนโรงเรียน EP ที่ทำไม่ได้ตามมาตรฐานหลักสูตร ก็ให้ลดลงไปสอนในระดับ GEP แต่ไม่ให้ใช้ชื่อ EP และเปิดเทอมใหม่นี้ หากโรงเรียนใดพร้อมก็ปรับหลักสูตรได้เลย” รศ.ดร.เอกชัย กล่าวและว่า เบื้องต้นนี้ กระทรวงศึกษาฯ โดยเลขานุการ รมว.ศธ. กำลังจะเดินทางไปประเทศฟิลิปปินส์ เพื่อติดต่อครูที่จะเดินทางมาสอนในประเทศไทย โดยไม่ต้องผ่านเอเนซี่แล้ว และครูที่มาจากประเทศฟิลิปินส์ต้องจบหลักสูตรการผลิตครูจริงๆ และมีการกำหนดว่าจะสอนในประเทศไทยระยะเวลาเท่าใด ซึ่งจะเป็นระบบมากขึ้น และได้ครูที่ตรงสาขาที่จบมาสอนมากขึ้นด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี