คำถาม ขอทราบความรู้เรื่อง การใช้ปุ๋ยยูเรียให้มีประสิทธิภาพ และมีวิธีการใส่ปุ๋ยที่เหมาะสมอย่างไรบ้างครับ
จิรากร โพธิ์ทองคำ
อ.หนองแซง จ.สระบุรี
คำตอบ
ปุ๋ยยูเรีย เป็นปุ๋ยที่ให้ธาตุไนโตรเจนสูงที่สุด ธาตุไนโตรเจน เป็นแก๊สที่มีปริมาณมากที่สุดในอากาศ เป็นแก๊สเฉื่อย มีโครงสร้างโมเลกุลยึดเกาะกันอย่างแข็งแรง พืชไม่สามารถนำไปใช้ได้โดยตรง อีกทั้งไนโตรเจนไม่สามารถทำปฏิกิริยาเคมีได้โดยง่าย ทำให้ในธรรมชาติและในดิน มีไนโตรเจนซึ่งอยู่ในรูปที่พืชนำไปใช้ประโยชน์ได้น้อยมาก ไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของพืช จึงมีความจำเป็นต้องเติมธาตุอาหารไนโตรเจนกลับลงสู่ดินในรูปที่พืชดูดซึมไปใช้ได้ ในรูปของปุ๋ยยูเรีย
เมื่อเติมปุ๋ยยูเรียลงในดิน กระบวนการที่เกิดคือ เมื่อปุ๋ยยูเรียละลายน้ำ จะถูกแบคทีเรียในดินย่อยสลาย จะเปลี่ยนรูปเป็นแอมโมเนีย เมื่อโดนความชื้น จะเปลี่ยนรูปเป็นแอมโมเนียม จะจับกับอนุภาคดินที่เป็นประจุลบ เป็นธาตุอาหารไนโตรเจนที่พืชสามารถดูดซึมไปใช้ได้
วิธีใช้ปุ๋ยยูเรีย ให้พิจารณาจาก ลักษณะของดิน ปริมาณของสารอาหารในดิน และที่สำคัญขึ้นอยู่กับประเภท ชนิดของพืช และพันธุ์พืชที่ปลูก ปุ๋ยยูเรียที่ใช้ ใช้สูตร 46-0-0 เป็นปุ๋ยที่ละลายน้ำได้ดีมาก และพืชสามารถดูดซึมธาตุไนโตรเจนไปใช้ได้ ทั้งจากทางรากและทางใบ และควรต้องใส่ปุ๋ยในขณะที่ดินเปียกชื้นพอเหมาะ
คำแนะนำการใช้ปุ๋ยยูเรีย เป็นผลจากการทดลองของนักวิชาการเกษตร อาจารย์ คณาจารย์จากสถาบันการเกษตรของประเทศ ได้ให้ข้อแนะนำการใช้ปุ๋ยยูเรียเบื้องต้น ดังนี้
การใช้ปุ๋ยยูเรียในนาข้าว สำหรับพันธุ์ข้าวที่ไวต่อช่วงแสง ซึ่งปลูกได้เฉพาะนาปีเท่านั้น ให้ใส่ปุ๋ยยูเรีย สูตร 46-0-0 อัตราไร่ละ 5-10 กิโลกรัม หว่านให้ทั่วแปลงก่อนข้าวออกดอก 30 วัน สำหรับพันธุ์ข้าวที่ไม่ไวต่อช่วงแสง ซึ่งปลูกได้ทั้งนาปีและนาปรัง ให้ใส่ปุ๋ยยูเรีย สูตร 46-0-0 อัตราไร่ละ 10-15 กิโลกรัม หว่านให้ทั่วแปลงหลังปักดำข้าว 35-45 วัน
การใช้ปุ๋ยยูเรียกับอ้อย ให้ใช้ยูเรีย สูตร 46-0-0 อัตราไร่ละ 50-80 กิโลกรัมต่อไร่ แบ่งใส่เป็น 2 ครั้ง เท่าๆ กัน ครั้งแรก ใส่หลังปลูกประมาณ 1 เดือน ครั้งที่สอง ใส่หลังจากใส่ครั้งแรกประมาณ 30-60 วัน สำหรับอ้อยตอ นอกเขตชลประทาน ให้ใส่ครั้งแรกต้นฤดูฝน ครั้งที่สอง หลังจากใส่ครั้งแรกประมาณ 30-60 วัน โดยวิธีโรยข้างแถว และสำหรับอ้อยตอ ในเขตชลประทาน ใส่ครั้งแรกหลังตัดแต่งตอ ครั้งที่สองหลังจากใส่ครั้งแรก 30-60 วัน โดยวิธีโรยข้างแถว
การใช้ปุ๋ยยูเรียกับสับปะรด ให้ใช้ปุ๋ยยูเรีย สูตร 46-0-0 อัตราไร่ละ 25 กิโลกรัม โรยข้างแถว แล้วพรวนดินกลบหลังจากปลูก 30 วัน
การใช้ปุ๋ยยูเรียกับข้าวโพด ข้าวฟ่าง ให้ใช้ปุ๋ยยูเรีย สูตร 46-0-0 อัตราไร่ละ 10-20 กิโลกรัม โรยข้างแถว แล้วพรวนดินกลบเมื่อมีอายุ 25-30 วัน
การใช้ปุ๋ยยูเรียกับพืชผักต่างๆ ให้ใช้ปุ๋ยยูเรีย สูตร 46-0-0 โดยแบ่งอัตราการใส่ปุ๋ยยูเรีย ออกเป็น 2 ครั้ง ครั้งแรก เมื่อต้นพืชอายุประมาณ 10-15 วัน โดยหว่านปุ๋ยยูเรีย อัตราไร่ละ 50 กิโลกรัม ครั้งที่สอง ใช้หลังหว่านปุ๋ยยูเรีย ครั้งแรกประมาณ 30-45 วัน อัตราไร่ละ 50 กิโลกรัม
ข้อควรระวังของการใช้ปุ๋ยยูเรีย การใช้ปุ๋ยยูเรียในปริมาณที่สูงเกินไป จะทำให้พืชมีใบสีเขียวเข้ม มีใบเพิ่มผิดปกติ อาจทำให้พืชเฉาและตายได้ ได้ผลผลิตต่ำ ต้นข้าว จะเมล็ดเล็กลีบ ทำให้ต้นพืชอ่อนแอไม่แข็งแรง และเป็นโรคได้ง่าย ทั้งยังทำให้มีปุ๋ยตกค้างในดิน ทำให้ดินเกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางกายภาพ ทำให้ดินแข็ง รากพืชไม่สามารถชอนไชหาอาหารได้ ทำให้ดินเค็ม และทำให้ดินเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเคมี
ดังนั้น เกษตรกร ต้องศึกษาลักษณะของดิน ปริมาณแร่ธาตุอาหารในดิน ปริมาณปุ๋ยที่มีอยู่ในดิน ก่อนการเพาะปลูกในแต่ละครั้ง ซึ่งโดยทั่วไปเกษตรกรไม่สามารถคาดเดาได้ สามารถทำได้โดยส่งดินไปตรวจสอบที่หน่วยงานการเกษตร เพื่อจะได้รู้ปริมาณปุ๋ยและแร่ธาตุที่มีเหลืออยู่ในดินของท่าน เพื่อจะได้เลือกประเภทปุ๋ย และสัดส่วนการใส่ปุ๋ยได้ถูกต้องเหมาะสม ตลอดจนช่วงเวลาที่ถูกต้องในการใส่ปุ๋ย เพื่อให้พืชสามารถดูดซึมไปใช้งานได้สูงสุด ไม่เหลือตกค้าง และยังเป็นการประหยัดค่าปุ๋ยอีกด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ในการใช้ปุ๋ยยูเรีย ซึ่งเป็นปุ๋ยเคมี เกษตรกรควรใช้ร่วมไปกับปุ๋ยอินทรีย์ด้วย จะเป็นการลดต้นทุนการผลิต และรักษาสภาพความอุดมสมบูรณ์ของดินให้ยั่งยืนตลอดไป ซึ่งเป็นวิธีการที่ใช้ปุ๋ยอย่างมีประสิทธิภาพ
นาย รัตวิ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี