นายสำราญ สาราบรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตรกล่าวว่า การจัดการแปลงใหญ่ยังคงต้องดำเนินการต่อเนื่อง ซึ่งเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรเข้าไปศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร ยังช่วยส่งเสริมเพื่อการจัดระบบการปลูกพืชข้าวแปลงใหญ่ในภาคกลาง เช่น จ.พระนครศรีอยุธยาดำเนินงานตามระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ ปัจจุบันมีทั้งหมด 33 แปลง 4 ชนิดสินค้า ได้แก่ ข้าว พืชผัก พืชอาหารสัตว์ และแพะเนื้อ มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ 1,659 ราย มีพื้นที่เข้าร่วมโครงการ 38,758.25 ไร่ สำหรับแปลงใหญ่ข้าวส่งเสริมให้เกษตรกรลดอัตราการใช้เมล็ดพันธุ์ จากอัตรา 25-30 กิโลกรัมต่อไร่ลดเหลือเพียง 10-15 กิโลกรัมต่อไร่ ส่งเสริมให้ใช้เครื่องโรยข้าวงอกนวัตกรรมช่วยลดต้นทุนเมล็ดพันธุ์ข้าว ซึ่งการปลูกข้าวในเขตภาคกลางส่วนมากปลูกโดยหว่านน้ำตม เพราะนอกจากทำให้ใช้เมล็ดพันธุ์น้อยลงแล้ว ยังส่งผลให้ต้นข้าวที่งอกเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ มีระยะห่างเหมาะสมลดกระจุกตัว ง่ายต่อการบริหารจัดการต่อไป
พร้อมทั้งแนะนำให้เกษตรกรเก็บตัวอย่างดินจากแปลงนาของตน ไปตรวจวิเคราะห์ธาตุอาหารในดินเบื้องต้น และส่งเสริมให้ผสมปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดินใช้เอง ซึ่งการใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดินนี้จะใช้ปุ๋ยลดลง จากอัตราส่วน 50 กิโลกรัมต่อไร่ต่อรอบการผลิต ลดเหลือเพียง 30 กิโลกรัมต่อไร่ต่อรอบการผลิต และส่งเสริมให้ใช้น้ำหมักชีวภาพ ปุ๋ยคอกควบคู่กับปุ๋ยเคมี เพื่อปรับโครงสร้างดิน เน้นปรับปรุงบำรุงดิน โดยไถกลบตอซัง ปลูกปุ๋ยพืชสด ร่วมกับส่งเสริมให้เกษตรกรจัดการศัตรูพืชแบบผสมผสาน (IPM) และสนับสนุนให้เกษตรกรใช้สารชีวภัณฑ์ควบคู่กับการใช้สารเคมีจัดการศัตรูพืช
ด้านการเพิ่มปริมาณผลผลิต ส่งเสริมให้ใช้เมล็ดพันธุ์คุณภาพดีเหมาะกับพื้นที่ มีเมล็ดพันธุ์ปนน้อย ในการผลิต ผ่านการถ่ายทอดความรู้การจัดการระหว่างการเก็บเกี่ยวโดยส่งเสริมให้เก็บเกี่ยวข้าวช่วงระยะพลับพลึง เพื่อลดสูญเสียปริมาณข้าว ด้านการพัฒนาคุณภาพมาตรฐานเน้นส่งเสริมให้เกษตรกรให้ความสำคัญกับการผลิตอาหารปลอดภัยด้วยการถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับความหมาย แนวทางขอรับรองมาตรฐานการเกษตรที่ดีที่เหมาะสม (GAP) และส่งเสริมให้ขอรับรองมาตรฐาน GAP ซึ่งเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯปรับระบบการผลิตและขอรับรองมาตรฐานการผลิตตามระบบ GAP 436 ราย และที่ได้รับรองมาตรฐานแล้ว 136 ราย คิดเป็นร้อยละ 11.09 ของจำนวนเกษตรกรทั้งหมดที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งผลการดำเนินงานเบื้องต้นทำให้เกษตรกรสามารถพัฒนาคุณภาพผลผลิตข้าวได้เพิ่มขึ้น พร้อมทั้งแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม เชื่อมโยงตลาดโดยร่วมมือกับภาคเอกชนในพื้นที่ทำสัญญารับซื้อผลผลิตจากกลุ่มเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปัจจุบันกลุ่มเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ จะลดต้นทุนการผลิตได้ จากเดิมก่อนเข้าร่วมโครงการมีต้นทุนเฉลี่ย 4,714 บาทต่อไร่ และเมื่อเข้าโครงการแล้วมีต้นทุนผลิตเฉลี่ย 4,008 บาทต่อไร่ลดได้ 706 บาท คิดเป็นร้อยละ 18.14ของต้นทุนการผลิตก่อนเข้าร่วมโครงการทั้งยังเพิ่มปริมาณผลผลิตเฉลี่ยเป็น 849 กิโลกรัมต่อไร่ เมื่อเทียบกับปริมาณผลผลิตเดิมก่อนเข้าร่วมโครงการ 775 กิโลกรัมต่อไร่ ปริมาณผลผลิตเพิ่มขึ้น 74 กิโลกรัมต่อไร่ คิดเป็นร้อยละ 9.46 ของปริมาณผลผลิตเดิมก่อนเข้าร่วมโครงการแต่ในอนาคต กรมเตรียมส่งเสริมให้เกษตกรตระหนักถึงการทำผลผลิตที่ปลอดภัยสำหรับผู้บริโภค พร้อมปรับกระบวนการผลิตให้ได้รับรองมาตรฐาน GAP ให้ได้มากขึ้น เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตชาวนาให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี