“เวลาที่เราพูดถึงเรื่องน้ำคนที่อาศัยอยู่ในเมืองมักจะลืมว่าแหล่งน้ำของตัวเองที่มีอยู่เพียงแหล่งเดียวคือน้ำประปา เปิดก๊อกมาก็เจอน้ำ เราอาจจะคิดว่าประเทศเรามีน้ำมากมายใช้นิดเดียวน้ำคงไม่หมด แต่เราอาจจะลืมไปว่าจากภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศทำให้ฤดูกาลต่างๆ คลาดเคลื่อน ฝนฟ้าก็ไม่ตกต้องตามฤดูกาล แล้วเราจะมีน้ำที่ไหนสำหรับกักเก็บเพื่อใช้เพื่อดื่ม? จะรอน้ำฝนเหมือนเมื่อก่อนก็ไม่ได้ ถ้าเราไม่มีการอนุรักษ์อย่างเข้มข้น เราก็มีโอกาสที่จะขาดแคลนน้ำแน่ๆ”
เมื่อน้ำเริ่มมีจำกัด และอาจไม่เพียงพอต่อความต้องการน้ำในอนาคตอีก 20 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะกับสังคมเมืองที่มีการขยายตัว ย่อมส่งผลให้ความต้องการน้ำเพิ่มมากขึ้น เพราะน้ำเป็นทรัพยากรที่หล่อเลี้ยงทุกสรรพสิ่ง นอกจากเป็นที่ต้องการของภาคเกษตรมากที่สุดแล้ว น้ำยังเป็นที่ต้องการของทุกภาคส่วนทั้งภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการ และภาคครัวเรือน ทำให้สถานการณ์น้ำของประเทศไทยเกิดความผันผวนและมีแนวโน้มที่เสี่ยงต่อการขาดแคลนน้ำในอนาคต
ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่า “ปัจจุบันประเทศไทยมีจำนวนประชากรประมาณ 66 ล้านคนเฉพาะในกรุงเทพมหานครมีประชากรอาศัยอยู่มากกว่า 8 ล้านคน” เมืองจึงเริ่มขยายไปยังพื้นที่รอบนอกเพิ่มมากขึ้น แต่เมื่อพิจารณาถึงความต้องการใช้น้ำของประชาชนในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล จึงเป็นข้อกังวลว่าถ้าน้ำมีไม่เพียงพอต่อความต้องการที่มากขึ้นจากปริมาณคนที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งยังไม่รวมประชากรแฝง การบริหารจัดการที่มีอยู่เพียงพอแล้วหรือยัง?
“แล้วน้ำที่ใช้มาจากไหน?คนกรุงเทพฯ เดี๋ยวนี้ไม่มีรองน้ำฝนใส่ตุ่มกันแล้ว น้ำประปาคือแหล่งน้ำหลักและทุกอย่างใช้น้ำประปาไม่ว่าจะรดน้ำ ทำสวน ทำเกษตร หรือใช้น้ำดับเพลิง ยังไม่รวมถึงการใช้น้ำในพื้นที่พักอาศัยที่นับวันจะยิ่งเพิ่มสูงมากขึ้น และต่อไปจะมีคนย้ายเข้ามาอยู่อาศัยเพื่อทำงานในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพิ่มมากขึ้น ขณะที่น้ำมีเท่าเดิมซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้น แล้วจะนำน้ำจากไหนมาเพื่อผลิตน้ำประปา
นอกจากนี้ด้วยพื้นที่เมืองที่มีจำกัดและราคาที่ดินที่ค่อนข้างสูงทำให้รูปแบบของที่พักอาศัยเปลี่ยนไปจากบ้านสองชั้นหรือบ้านเป็นหลัง กลายเป็นคอนโดมิเนียมหรืออาคารสูงบางแห่งสูง 10 ชั้น บางแห่งสูง40-50 ชั้น โดยเฉพาะตามแนวรถไฟฟ้าที่ผุดขึ้นเป็นจำนวนมาก ทำให้การใช้น้ำประปาเพิ่มสูงขึ้นตามจำนวนห้องหรือยูนิต แต่พบว่าแนวทางในการคำนวณค่าน้ำประปาที่ผ่านส่วนหนึ่งเป็นการคำนวณด้วยอัตราคงที่โดยใช้ข้อมูลจากทะเบียนราษฎรเป็นฐานข้อมูลหลักในการดำเนินการ”
จึงเป็นที่มาของ “โครงการวิจัยเรื่องแนวโน้มประชากรและความต้องการน้ำประปาในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล” โดยได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ซึ่ง ผศ.ดร.ธีรนงค์ สกุลศรี นักวิชาการจากสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ผู้ร่วมวิจัยเรื่องนี้ ระบุว่า โครงการวิจัยดังกล่าวทำร่วมกับ ผศ.ดร.มาร์ก เฟิลแคร์ ซึ่งเป็นหัวหน้าโครงการ
โดยสาเหตุที่เลือกทำโครงการนี้เพราะอยากรู้ปริมาณความต้องการใช้น้ำครัวเรือนและที่พักอาศัยในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมถึงแนวทางในการคำนวณความต้องการน้ำและวิธีคิดค่าน้ำประปา เพื่อประเมินความต้องการใช้น้ำที่น่าจะเกิดขึ้นจริงในอนาคต เริ่มจากการศึกษาสูตรการประเมินความต้องการน้ำของประเทศต่างๆ จากทั่วโลกที่ใช้อยู่ว่ามีการดำเนินการอย่างไรและนำปัจจัยอะไรมาเป็นตัวกำหนดความต้องการน้ำ และมีความแตกต่างจากของประเทศไทยอย่างไร
ผศ.ดร.ธีรนงค์กล่าวต่อไปว่า หลังจากได้ศึกษาแล้วก็มาดูว่าปัจจัยใดที่มีความเหมาะสมและมีชุดข้อมูลที่มีการเก็บระยะเวลายาวนานเพียงพอเหมาะสมสำหรับใช้ในการคำนวณ จากนั้นจึงนำปัจจัยดังกล่าวที่มีความสอดคล้องกับประเทศไทยมาเทียบค่าและปรับจนได้เป็นสูตรคำนวณปริมาณความต้องการน้ำประปา โดยวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนประชากรจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ร่วมกับตัวแปรอื่นๆที่สำคัญและเป็นปัจจัยกำหนดความต้องการน้ำในอนาคต
ประกอบด้วย 5 ปัจจัยหลัก ได้แก่ จำนวนประชากร ขนาดครัวเรือนรายได้ครัวเรือนราคาค่าน้ำ และปริมาณน้ำฝน ซึ่งในการศึกษาครั้งนี้ได้นำชุดข้อมูลจำนวนประชากรจากสำนักงานสถิติแห่งชาติมาร่วมในการวิเคราะห์ซึ่งจะมีความแตกต่างจากการวิเคราะห์ตามแนวทางเดิมที่ใช้ข้อมูลประชากรจากฐานข้อมูลทะเบียนราษฎรร่วมกับปริมาณการใช้น้ำในอดีต
“เบื้องต้นได้นำสูตรคำนวณค่าน้ำประปาที่เราพยายามปรับใหม่นี้ ทดสอบกับปริมาณจำหน่ายน้ำเมื่อปี พ.ศ.2561 หรือปี 2018 ที่ผ่านมาของผู้ใช้น้ำประเภทที่อยู่อาศัยในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ของการประปานครหลวง (กปน.) พบว่าผลการคำนวณที่ได้จากค่าคาดประมาณมีค่าต่างกันไม่มากเมื่อเทียบกับการปริมาณน้ำจำหน่ายทั้งหมดเมื่อปี 2018 อยู่ที่ 670 ล้านลูกบาศก์เมตร ขณะที่สูตรใหม่คำนวณได้ 674 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยคณะผู้วิจัยได้ร่วมหารือกับการประปานครหลวงเพื่อพัฒนาเป็นสูตรที่ใช้ในการคำนวณในโอกาสต่อไป” ผศ.ดร.ธีรนงค์ กล่าว
โครงการวิจัยเรื่องแนวโน้มประชากรและความต้องการน้ำประปาในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ยังได้ใช้สูตรคำนวณใหม่นี้มาวิเคราะห์เพื่อทำนายความต้องการน้ำในช่วงปี 2018-2038 หรือในอนาคตในอีก 20 ปีข้างหน้าว่า คนกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีปริมาณความต้องการใช้น้ำในจำนวนเท่าไหร่ โดยในการศึกษาวิจัย ได้รวบรวมข้อมูลจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
และทำการสร้างภาพจำลองจากสถานการณ์ความต้องการใช้น้ำจากการจำลองเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงทางประชากรในอนาคตขึ้นใน 3 ระดับ คือ ระดับสูง (High-bound scenario), ปานกลาง (Moderate-bound scenario) และต่ำ (Low-bound scenario) ผลการวิเคราะห์ด้วยการสร้างภาพจำลองสถานการณ์ พบว่า ปริมาณความต้องการใช้น้ำในครัวเรือน มีความสัมพันธ์กับปัจจัยทางประชากร เช่น ขนาดของประชากรและขนาดครัวเรือน โดยทั้งสองปัจจัยจะพยากรณ์ความต้องการน้ำในครัวเรือนที่สำคัญอันเป็นผลสืบเนื่องจากแนวโน้มทางสังคม เศรษฐกิจ และประชากร
โดยผลการสร้างภาพจำลองการคาดการณ์ระดับปานกลางพยากรณ์ว่า ความต้องการน้ำจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจาก 674 ล้านลูกบาศก์เมตร ในปี 2018 เป็น 692 ล้านลูกบาศก์เมตร ในปี 2020 และหลังจากนั้นความต้องการน้ำจะยังเพิ่มขึ้นอยู่ แม้เป็นการเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ โดยคาดว่าความต้องการน้ำในครัวเรือนจะอยู่ที่ 723 ล้านลูกบาศก์เมตร ในปี 2025 และ 742 ล้านลูกบาศก์เมตรในปี 2030 และเพิ่มสูงขึ้นถึง 754 ล้านลูกบาศก์เมตร ในปี 2038 หรือเพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 11.9 ในปี 2038 เมื่อเทียบกับปี 2018
ส่วนภาพจำลองการคาดการณ์ระดับสูงมีการคาดการณ์ว่า ความต้องการใช้น้ำจะเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 14.9 ในขณะที่ภาพจำลองการคาดการณ์ระดับต่ำพยากรณ์ว่า ความต้องการใช้น้ำจะเพิ่มขึ้นช้ากว่าประมาณร้อยละ 8.6 ในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่ง ผศ.ดร.ธีรนงค์ กล่าวว่า ผลที่ได้จากการศึกษาในโครงการนี้ อย่างน้อยเป็น 1 ในความพยายามที่ทำให้ได้คาดการณ์ถึงปริมาณน้ำที่ต้องการในอีก 20 ปี ข้างหน้าให้ใกล้เคียงกับความต้องการใช้จริงได้มากที่สุด เพื่อนำไปใช้ในการวางแผนการบริหารจัดการน้ำต่อไปเพื่อให้ทุกคนมีน้ำใช้ได้อย่างยืนยาว
ผศ.ดร.ธีรนงค์ย้ำว่า “ปัจจุบันเวลาคนไทยใช้น้ำจะไม่ค่อยคิดว่าตอนนี้น้ำในประเทศมีเพียงพอเพียงใดและไม่รู้ว่าต้นทุนน้ำที่เกิดจากการผลิตน้ำประปาแต่ละครั้งนั้นมีราคาหรือมีมูลค่าสูงกว่าค่าน้ำที่ใช้ในปัจจุบันอย่างไร” ที่ผ่านมาสังคมไทยคุ้นชินว่าประเทศไทยมีน้ำมากและคุ้นเคยกับการใช้น้ำที่มีราคาถูกมาตลอด เห็นได้จากค่าน้ำประปาไม่มีการเปลี่ยนแปลงมานานหลายสิบปี จนอาจมองว่าน้ำไม่ใช่เรื่องสำคัญ
“ในต่างประเทศจะเห็นว่าค่าน้ำหรือน้ำดื่มมีราคาแพงกว่าบ้านเรามาก ทำให้เขาใช้น้ำอย่างเห็นคุณค่า จึงหวังว่าสิ่งที่ได้จากการวิจัยนี้อาจบอกได้ว่าต่อไปแนวทางการอนุรักษ์ควรดำเนินการอย่างเป็นระบบ มีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น รวมถึงอาจจะต้องพิจารณาถึงกลไกด้านราคาที่เหมาะสมกับการใช้จริง เพื่อช่วยให้คนไทยหันมาตระหนักและให้ความสำคัญในเรื่องน้ำมากยิ่งขึ้น”ผศ.ดร.ธีรนงค์ ระบุ
ข้อคิดจากงานวิจัยชิ้นนี้ “เมื่อความต้องการน้ำเพิ่มขึ้นแต่น้ำมีจำกัดแล้วเราจะหาน้ำจากที่ไหน?” เราคงไม่อยากเห็นประเทศไทยตกอยู่ในภาวะขาดแคลนน้ำดื่มหรือน้ำสะอาดเหมือนที่เกิดขึ้นกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลกเมื่อเราไม่สามารถสร้างเขื่อนเพื่อเก็บน้ำเพิ่มได้อีก และอนาคตอาจต้องมีการผันน้ำข้ามประเทศ หรือรอคอยการปล่อยน้ำจากเขื่อนในประเทศทางตอนเหนือของเรา
หากเรายังไม่ช่วยกันอนุรักษ์น้ำกันอย่างจริงจัง ในอนาคตอาจไม่มีน้ำเหลือให้ลูกหลานได้ใช้อีกต่อไป!!!
ทีมงาน “วารีวิทยา”
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี