นางสาวจริยา สุทธิไชยา เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยถึงสถานการณ์สินค้าเกษตรช่วงครึ่งปีหลังว่า ตั้งแต่เดือนมิถุนายน-ธันวาคม 2562 นับเป็นช่วงที่จะมีผลผลิตสินค้าเกษตรหลายชนิดออกมาปริมาณมากกว่าช่วงครึ่งปีแรก คิดเป็นสัดส่วนจีดีพีเกษตรครึ่งปีหลังอยู่ที่ 50% โดยสินค้าสำคัญได้แก่ ข้าวนาปี ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ยางพารา สับปะรดโรงงาน ลำไย สุกรและกุ้ง
สำหรับข้าวนาปี ปี 2562/63 ผลผลิตครึ่งปีหลัง คาดว่าจะมีปริมาณ 24.58 ล้านตันข้าวเปลือก โดยผลผลิตจะออกสู่ตลาดมากเดือนพฤศจิกายน ประมาณ 16.02 ล้านตันข้าวเปลือก หรือ 62.08% ของผลผลิตข้าวนาปีทั้งหมด ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะมีผลผลิต 4.22 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจาก 4.16 ล้านตันในช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมา ผลผลิตจะออกสู่ตลาดมากและกระจุกตัวช่วงเดือนกันยายน-พฤศจิกายน ประมาณ 3.29 ล้านตัน คิดเป็น 64.33% ของผลผลิตรวมทั้งประเทศ ยางพารา เนื่องจากช่วงครึ่งปีหลังเป็นช่วงเปิดกรีดยางทำให้มีผลผลิตออกสู่ตลาดมากประมาณ 3.51 ล้านตัน คิดเป็นสัดส่วน 71.21% ของผลผลิตรวมทั้งประเทศเพิ่มจาก 3.36 ล้านตัน ในปี 2561 สับปะรดโรงงาน ผลผลิตออกสู่ตลาดมากช่วงแรกคือ เดือนเมษายน-มิถุนายน ประมาณ 571,798 ตัน และเดือนตุลาคม-ธันวาคม ประมาณ 519,154 ตัน ลำไยคาดว่าผลผลิตจะออกสู่ตลาด 776,260 ตัน โดยออกมากที่สุดเดือนสิงหาคมปริมาณ 249,220 ตัน หรือคิดเป็น 23.33% ของผลผลิตทั้งหมด สุกรคาดว่าจะมีผลผลิตสุกรประมาณ 11.64 ล้านตัว ลดลงจาก 13.69 ล้านตัว ช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยผลผลิตสุกรมีผลผลิตออกสู่ตลาดใกล้เคียงกันตลอดทั้งปี กุ้งช่วงครึ่งปีหลังมีปริมาณ 187,588 ตัน คิดเป็น 58.81% ของผลผลิตกุ้งทั้งหมด ซึ่งผลผลิตเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา 14.88%
สินค้าที่มีแนวโน้มราคาดีช่วงครึ่งปีหลัง ได้แก่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ราคาที่เกษตรกรขายได้ (ม.ค.-เม.ย.) ณ ความชื้น 14.5% เฉลี่ยอยู่ที่กิโลกรัมละ 8.33 บาท จึงคาดว่าช่วงครึ่งปีหลังราคายังคงอยู่ในเกณฑ์ดี เนื่องจากความต้องการใช้ในประเทศเพิ่มขึ้น สับปะรดโรงงาน เนื่องจากผลผลิตออกสู่ตลาดลดลง ขณะที่ตลาดต้องการเพิ่มขึ้น ประกอบกับสถานการณ์ตลาดต่างประเทศจะปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้ราคาส่งออกช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น คาดว่าราคาที่เกษตรกรขายได้อยู่ในเกณฑ์กิโลกรัมละ 5-6 บาท เพิ่มขึ้นจากช่วงครึ่งปีแรกที่ขายได้กิโลกรัมละ 4.39 บาท
ทั้งนี้ สศก.คาดว่าแนวโน้มจีดีพีเกษตรปี 2562 อาจลดลงจากที่คาดการณ์ไว้เมื่อช่วงต้นปีอยู่ที่ 2.5- 3.5% เนื่องจากปรากฏการณ์เอลนีโญส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้อุณหภูมิค่าเฉลี่ยสูงขึ้นกว่าค่าปกติ ปริมาณน้ำฝนต่ำกว่าปีที่ผ่านมา และหากมีฝนทิ้งช่วงจะยิ่งส่งผลต่อแผนการผลิตหรือปฏิทินการเพาะปลูกของเกษตรกรได้ ตลอดจนปัจจัยภายนอก เศรษฐกิจโลกชะลอตัว สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน ราคาน้ำมันดิบผันผวน อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ทั้งหมดเป็นปัจจัยต่อผลผลิตสินค้าเกษตรและมูลค่าจีพีดีเกษตรในภาพรวมทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม ขอให้เกษตรกรติดตามข้อมูลสภาพอากาศ วางแผนการผลิตพืชให้สอดคล้องกับน้ำต้นทุน โดยเฉพาะเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี สามารถเข้าร่วมโครงการประกันภัยข้าวนาปี กับธ.ก.ส. เพื่อคุ้มครองความเสี่ยงภัยธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี