ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ สั่ง“สธ.-สำนักปลัดฯ” ชดใช้ 2.8 ล้านบาท คดีรถพยาบาลชน “น้องปาล์ม” ขณะอายุขวบเศษพิการ แล้วไม่จบ ก.สาธารณสุข ยังอุทธรณ์ต่อ แม่วิงวอนขอให้จบคดีอย่ายื่นฎีกาอีกได้เงินมาเยียวยารักษาลูก รองโฆษกอัยการเผยเคยพาไปเจรจาไกล่เกลี่ยแล้ว แต่ตอนนั้นไม่สำเร็จ
22 พ.ค.62 ที่ศาลจังหวัดชุมแพ จ.ขอนแก่น ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 คดีที่นายศราวุฒิ เจิมขุนทด , ด.ช.ปราบปราม หรือ ด.ช.พงศ์กร เจิมขุนทด อายุ 4 ขวบเศษ โดย น.ส.ปวีณา หาทรัพย์ ผู้แทนโดยชอบธรรม (น้องปาล์ม) , น.ส.ปวีณา หาทรัพย์ เป็นโจทก์ที่1-3 ยื่นฟ้องกระทรวงสาธารณสุข , สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานละเมิด กรณีที่จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลมีฐานะเป็นกระทรวง จำเลยที่ 2 มีฐานะเป็นกรม ซึ่งเป็นส่วนราชการสังกัดและเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์ และมีนางสิริลักษณ์ วาริยศ เป็น ผอ.บริหารงาน ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539
จากกรณีเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2558 เวลาประมาณ 13.00 น. นางสิริลักษณ์ มีคำสั่งหรือมอบหมายให้นายเกต หน้าผมทอง อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน เป็นผู้ขับรถยนต์กระบะพาคณะบุคคลไปปฏิบัติราชการตามคำสั่ง โดยนายเกตซึ่งอยู่ระหว่างปฎิบัติตามคำสั่งขับรถยนต์กระบะออกจากข้างทางโดยประมาท ปราศจากความระมัดระวังเข้าถนนซอยโยธาธิการ ทางช่องทางเดินรถฝั่งซ้ายกะทันหันแล้วข้ามผ่านไปยังช่องเดินรถฝั่งขวา เป็นเหตุให้รถยนต์กระบะชนกับรถจักรยานยนต์ ซึ่งมีโจทก์ที่ 1 เป็นผู้ขับ และมีโจทก์ที่ 2 นั่งซ้อนท้ายเป็นเหตุให้โจทก์ที่ 1 และ 2 ได้รับบาดเจ็บ
ภายหลังเกิดเหตุพนักงานอัยการคดีศาลแขวงขอนแก่น ยื่นฟ้องนายเกตเป็นจำเลยในคดีอาญา ข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสต่อศาลแขวงขอนแก่นซึ่งต่อมาศาลแขวงขอนแก่นมีคำพิพากษาว่านายเกตทำความผิดตามฟ้องเป็นเหตุให้โจทก์ที่1และ2ได้รับความเสียหาย คิดเป็นค่ารักษาและค่าซ่อมรถและค่าอุปกรณ์อื่นๆอันจำเป็นสำหรับชีวิตประจำวันเป็นเงิน 164,490 บาท หลังเกิดเหตุในเขตวางเงินค่าเสียหายเพื่อบรรเทาผลร้าย 100,000 บาท คงเหลือเงิน 64,490 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี
ภายหลังเกิดเหตุโจทก์ที่ 2 ต้องเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องเพราะกระดูกสันหลังและระบบขับถ่ายของโจทก์ที่สองเกิดความเสียหายทำให้ขาทั้งสองข้างอ่อนแรงไม่สามารถนั่งหรือยืนได้ทั้งต้องเปลี่ยนสายยางท่อปัสสาวะและฝังเข็มอย่างต่อเนื่องคำนวณ เป็นค่ายานพาหนะและค่าใช้จ่ายอื่นๆอันจำเป็นต่อการรักษาพยาบาลในอนาคต3,000,000 บาท
นอกจากนี้โจทก์ที่2 ยังต้องทุพพลภาพ ร่างกายพิการ ทำให้ต้องเสียความสามารถประกอบการงานสิ้นเชิง คำนวณค่าเสียหาย 9,000 บาทนับแต่โจทก์ที่ 2 บรรลุนิติภาวะจนถึงอายุ 60 รวมระยะเวลา 40 ปีเป็นเงิน 4,302,000 บาท ,ค่าเสียหายที่ต้องทนทุกข์ทรมานเป็นค่าเสียหายอันไม่อาจคำนวณเป็นเงินได้ 1,00,000 บาท รวมเป็นค่าเสียหายทั้งสิ้น 8,371,326 บาทค่าอุปการะเลี้ยงดูโจทก์ที่ 3 ต้องเลี้ยงดูโจทก์ที่ 2 บุตรผู้เยาว์จนบรรลุนิติภาวะเป็นเงิน 1,944,000บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี
โดยกระทรวงสาธารณสุข,สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จำเลยทั้ง 2 ให้การว่านายเกตเป็นอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน รพ.ส่งเสริมสุขภาพชุมชนตำบลบ้านใหม่เป็นเจ้าหน้าที่ของส่วนราชการอยู่ในกำกับดูแลของจำเลยทั้ง2 ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐกระทำละเมิดต่อโจทก์ที่1เเละ2ในการปฏิบัติหน้าที่ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้ง3ไปบางส่วนแล้วเป็นเงิน 145,800 บาทค่าเสียหายที่โจทก์ทั้ง3เรียกสูงเกินความเป็นจริงขอให้ยกฟ้อง
คดีศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้ง2ร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ที่2เป็นเงิน 2,935,700บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับตั้งแต่วันที่ 28 ก.ค. 58 จนกว่าจะชำระแก่โจทก์ที่สองกับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ที่สองโดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาทเเละให้ยกฟ้องโจทก์ที่1และที่3 จำเลยทั้ง 2ยื่นอุทธรณ์คดีต่อ
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วข้อเท็จจริงว่าต้นรับฟังได้ว่าข้อเท็จจริง นายเกตเป็นอาสาสมัครสาธารณสุขซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของส่วนราชการที่อยู่ในการกำกับดูแลของจำเลยทั้งสองโดย นาง สิริลักษณ์ มอบหมายให้นายเกตเป็นผู้ขับรถยนต์ในราชการของจำเลยที่2 พาคณะบุคคลซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและอาสาสมัครสาธารณสุขไปปฏิบัติงานตามที่รับมอบหมายและนายเกต ขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้โจทก์ที่ 1 ได้รับอันตรายแก่กาย โจทก์ที่2ได้รับอันตรายสาหัสและทรัพย์สินเสียหาย ศาลชั้นต้นพิพากษาในคดีอาญาว่านายเกตกระทำความผิด กรณีดังกล่าว ถือว่านายเกต กระทำละเมิดในการปฎิบัติหน้าที่ต่อโจทก์ที่1และที่2 ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 442 และมาตรา 223 ได้กำหนดเรื่องค่าสินไหมทดแทนในการทำละเมิดโดยให้ศาลพิจารณาถึงพฤติการณ์ด้วยว่าฝ่ายไหนเป็นผู้ก่อให้เกิดความเสียหายยิ่งหย่อนกว่ากันเพียงใด
เห็นว่าขณะเกิดเหตุในเขตขับรถกระบะส่วนบุคคลซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของจำเลยทั้ง2 โดยในเกตได้กลับรถเพื่อจะขับเข้าไปในช่องทาง เดินรถซึ่งเป็นเส้นทางหลักซึ่งในขณะนั้นโจทก์ที่1ขับรถจักรยานยนต์แล่นมาทางด้านขวาของนายเกตซึ่ง นายเกตรับว่ามองเห็นรถจยย.ขับมาในทิศทางดังกล่าวแล้วแต่ในเกตยังขับรถของต้นไปขวางทางเดินของโจทก์ที่1จึงทำให้จยย.คันที่โจทก์ที่หนึ่งขับมาชนกับรถยนต์นายเกต แสดงว่าในเกตขับรถยนต์เข้าไปขวางเส้นทางเดินของโจทก์ที่1โดยกะทันหันทำให้โจทก์ที่1ไม่สามารถหยุดรถได้ทันซึ่งหากนายเกตหยุดรถไว้เสียก่อน โดยรอให้จักรยานยนต์ของโจทก์ที่ 1 ขับผ่านไปแล้วก็จะไม่เกิดเหตุรถยนต์ชนกันเป็นเหตุให้โจทก์ที่2ต้องได้รับอันตรายสาหัสเป็นคนพิการไปตลอดชีวิต
จึงต้องถือว่านายเกตกระทำโดยประมาทยิ่งกว่าโจทก์ที่1 ซึ่งในคดีอาญาเป็นมูลเหตุเดียวกันศาลแขวงขอนแก่นพิพากษาให้เฉพาะในเกตเป็นผู้กระทำความผิดเพราะได้กระทำโดยประมาทและคดีถึงที่สุดแล้วกรณีต้องถือว่านายเกตเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการไม่ทำตามหน้าที่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ที่2อันเป็นการกระทำโดยประมาทยิ่งกว่าโจทก์ที่1 จึงเห็นสมควรกำหนดให้จำเลยทั้ง2 ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่สอง8ใน 10 ส่วน
เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยค่าเสียหายส่วนนี้เป็นเงิน 143,547 บาทจึงเห็นสมควรกำหนดให้จำเลยทั้ง2 ร่วมกันจัดทำละค่าเสียหายเป็นจำนวนเงิน 114,800 บาทส่วนอุทธรณ์ของจำเลยทั้ง2ในเรื่องต้องชดใช้สินไหมทดแทนส่วนที่เป็นค่าทนทุกข์ทรมานระหว่างการรักษาและไม่สามารถดำรงชีวิตตามปกติเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่เห็นว่าเมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยกำหนดค่าเสียหายสินไหมทดแทนดังกล่าวจำนวน 900,000 บาทจึงเห็นสมควรให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดชอบค่าเสียหายส่วนนี้จำนวน 720,000 บาท
ส่วนเรื่องการกำหนดค่าเสียหายสำหรับการสูญเสียความสามารถในการประกอบอาชีพของโจทก์ที่สองเห็นว่าเมื่อโจทก์ที่สองเรียกค่าเสียหายส่วนนี้มา 4,302,000บาท แต่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยทั้งสองต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในส่วนที่เป็นค่าสูญเสียความสามารถในการประกอบอาชีพเป็นระยะเวลา 40 ปีตั้งแต่อายุ 20 ปีถึง 60 ปีเป็นเงิน2,000,000 บาท นับว่าเป็นคุณแก่จำเลยทั้งสองอยู่แล้วไม่มีเหตุที่ศาลอุทธรณ์จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ดังนั้นเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าในเกตนำเงินค่าเสียหายจำนวน 104,000 บาทมอบให้แก่โจทก์ที่2 เพื่อเยียวยาค่าเสียหายแล้วจำเลยทั้ง2 จึงต้องรับผิดค่าเสียหายอันเป็นค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ที่2เป็นเงินทั้งสิ้น 2,834,800 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับตั้งแต่วันที่ 28 ก.ค.58 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่2 และให้จำเลยทั้ง2ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ที่2โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาทนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า คดีนี้คุณแม่น้องปาล์มได้พาน้องปาล์มมาขอความช่วยเหลือจากสำนักงานอัยการสูงสุด ซึ่งเราได้เคยพาคุณแม่น้องปาล์มไปเจรจาเพื่อไก่ลเกลีย กับทางกระทรวงสาธารณสุขแล้ว แต่ค่าเสียหายสูงเกินกว่าที่ทางกระทรวงจะตกลงได้ สำนักงานอัยการก็ยินดีที่จะช่วยดำเนินการหากตกลงกันได้ หรือจะช่วยประสานกรมบัญชีกลางให้ แต่สุดท้ายไม่สามารถดำเนินการได้ ทั้งนี้เป็นไปตามความประสงค์ จึงสู้คดีกันมา ผลคือศาลชั้นต้นตัดสินให้จ่ายค่าเสียหายสูงกว่าที่คุณแม่น้องปาล์มเคยพอใจ ซึ่งก็เป็นประโยชน์กับตัวน้องปาล์ม ศาลอุทธรณ์พิพากษาแล้ว ซึ่งหากจะต่อสู้ในชั้นฎีกาต่อไป ตามกฎหมายคดีจะต้องขออนุญาตยื่นฎีกา
ด้าน น.ส.ปวีณา มารดาของน้องปาล์ม กล่าวว่าหลังจากเกิดเหตุก็สงสารลูกมาก เพราะถูกรถชนพิการตั้วเเต่อายุ1ปีเศษ จนตอนนี้ลูกอายุ จะ5 ปีเเล้ว คดียังไม่สิ้นสุด ตนอยากจะได้เงินมาเยียวยารักษาอาการของลูกที่ตอนนี้พิการเดินไม่ได้ ก็อยากวิงวอนขอให้คดีจบเเค่นี้ อยากให้กระทรวงสาธารณสุข เห็นเเก่มนุษย์ธรรมกับเด็กที่ถูกรถชนพิการเสียโอกาสในชีวิตหลายอย่าง ไม่ต้องยื่นฎีกาสู้คดีต่อ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้คดีที่อัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องคดีอาญา ที่ฟ้องนายเกต นาถมทอง อายุ68ปี คนขับรถโรงพยาบาล เป็นจำเลยฐานกระทำโดยประมาทขับรถชน นายสราวุฒิ เจิมขุนทด เเละ ด.ช.ปราบปราม หรือน้องปาล์มจนศาลลงโทษจำคุกไปแล้ว
ส่วนคดีเเพ่งที่ได้มีการฟ้องร้อง ก.สาธารณสุข ในฐานะหน่วยงานต้นสังกัดนั้นโดยก่อนหน้านี้ นายโกศลวัฒน์ เเละ นายประเสริฐ กาญจนอุทัย อัยการผู้เชี่ยวชาญพิเศษ สำนักงานคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ ประชาชน ก็ได้เป็นคนกลางไกล่เกลี่ยพาไปพบผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขโดยเเจ้งขอให้กระทรวงสาธารณสุขจำเลยยอมชดใช้เงินเพียง 2 ล้านบาทแก่โจทก์ จากที่เเต่เดิมเรียกไป5ล้านบาท เพื่อเห็นเเก่มนุษย์ธรรม แต่การเจรจาไม่สำเร็จ จนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้จำเลยชดใช้ใช้2.9ล้านบาท เเต่กระทรวงสาธารณสุขยังไม่จบยังยื่นอุทธรณ์สู้คดีต่อจนเป็นที่มาของการร้องขอความช่วยเหลือจาก นายโกศลวัฒน์ รองโฆษกฯอัยการ เพื่อประสานขอความช่วยเหลือทางด้านกฎหมายเเก่เนติบัณฑิตสภา เเละในวันนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาเเก้เป็นชดใช้กว่า 2.8ล้านบาท
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี