ระบบฉันทามติ มีความจำเป็นมาก เพราะเป็นระบบที่ถ้อยทีถ้อยอาศัย ไม่ทำร้ายจิตใจแก่ผู้ที่ไม่เห็นด้วย หรือไม่มีความสุขหรือไม่สบายใจกับสิ่งที่เสียงส่วนใหญ่เห็นชอบ แม้คนที่ไม่เห็นด้วยนั้นมีเพียงคนเดียวก็ตาม ทั้งนี้ เท่ากับเป็นการแสดงออกถึงความรู้สึกเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน ไม่ใช่เอาตามที่หมู่มากลากไปโดยไม่คำนึงถึงคนส่วนน้อย เพราะถ้าเป็นดังนั้น หวั่นเกรงว่าการรวมกันจะอยู่ไม่ยืด อาจมีสมาชิกบางคนไม่พอใจแล้วลาออกไปง่ายๆ อันนี้ต่างจากระบบการลงมติขององค์การสหประชาชาติ ที่แม้จะใช้ระบบเสียงข้างมากตัดสิน แต่สมาชิกก็ยังเกาะติดอยู่ไม่แยกตัวออกไป เนื่องจากประโยชน์แห่งการเป็นสมาชิกสหประชาชาตินั้นมีมากในด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจ ทว่าสำหรับแอปเตอร์เราได้ยึดถือระบบฉันทามตินี้มาตั้งแต่ต้น จึงทำให้สามารถรวมตัวกันเป็นองค์กรที่แนบแน่นมาจวบจนกระทั่งปัจจุบัน ซึ่งถ้าผมจำไม่ผิด อาเซียนเองก็ใช้ระบบนี้เช่นเดียวกัน
ระเบียบวาระพิเศษ ในการต่ออายุผู้จัดการทั่วไปของผมนี้ ความจริงก่อนที่จะนำเสนอที่ประชุมคณะมนตรีครั้งนี้ ก็ได้มีการจัดตั้งคณะทำงานประกอบด้วย มาเลเซีย ญี่ปุ่น และไทย เพื่อทำการประเมินความเหมาะสมในด้านต่างๆ ของผมมาก่อนแล้วในช่วงต้นปี ตอนนั้นคณะทำงานมาประเมินกันที่สำนักเลขานุการแอปเตอร์ในประเทศไทย ผมต้องนำเสนอผลงานที่ทำมาพร้อมตอบข้อซักถามต่างๆ จนกระทั่งคณะทำงานพอใจและให้คะแนนเห็นชอบ พร้อมทั้งนำมาเสนอที่ประชุมใหญ่ โดยระหว่างการพิจารณาในที่ประชุมใหญ่นั้น ผมต้องออกไปอยู่นอกห้องประชุม และผู้แทนคณะทำงานจะเป็นผู้นำเสนอ หลังจากนั้น ประธานในที่ประชุมจะใช้วิธีถามเป็นรายประเทศว่าจะรับรองยินยอมไหม จนเสร็จครบทุกประเทศที่มาประชุม ซึ่งต้องไม่มีค้านแม้แต่คนเดียว ปรากฏว่าผมได้รับความอนุเคราะห์จากสมาชิกทุกประเทศให้ดำรงตำแหน่งต่อไปอีก 1 สมัย 3 ปี ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
เล่าเสียยาวเลย เรื่องของผม แต่ก็ได้เน้นให้ท่านผู้อ่านได้ทราบระบบและเจตนารมณ์ของการลงมติแบบต่างๆ ซึ่งน่าจะก่อให้เกิดประโยชน์ครับ การจัดประชุมคณะมนตรีแอปเตอร์ ครั้งที่ 7 จัดขึ้นที่โรงแรมในเมืองปุตราจายา ซึ่งเป็นเมืองใหม่ของมาเลเซียและเป็นที่ตั้งของหน่วยงานราชการต่างๆ ของประเทศ หลายท่านคงได้มีโอกาสไปสัมผัสมาแล้ว แต่บางท่านอาจไม่เคยไป ก็อยากจะเล่าสักเล็กน้อยว่า มันเป็นวิสัยทัศน์ของผู้นำประเทศที่ต้องการแก้ปัญหาความแออัดของเมืองหลวงอย่างกัวลาลัมเปอร์ จึงย้ายสถานที่ราชการหน่วยงานต่างๆ ให้ไปอยู่อีกที่หนึ่ง ความจริงวิธีการแบบนี้ ไม่ใช่ของใหม่ หลายประเทศนิยมทำมาแล้ว ในสหรัฐอเมริกา เมืองที่เป็นศูนย์ราชการของประเทศ หรือของรัฐ หรืออาจเรียกว่าเมืองหลวงก็ได้ มักจะไม่ใช่เมืองใหญ่ที่เป็นแหล่งค้าขายท่องเที่ยวหรือเป็นศูนย์กลางทางธุรกิจ ในฟิลิปปินส์เองก็มีการย้ายศูนย์ราชการออกไปจากกรุงมะนิลาไปอยู่เมืองเกซอน แต่เผอิญไปไม่ไกล ปัจจุบันจึงกลายเป็นเมืองติดกันกับกรุงมะนิลาที่แผ่ขยายออกไปแบบหนีไม่ออก แก้ความแออัดไม่ได้ ประเทศไทยเราก็คิดเรื่องนี้มามาก เริ่มตั้งแต่จะไปตั้งเมืองหลวงที่เพชรบูรณ์ สมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม (แต่แพ้มติย้ายเมืองในสภาฯ) และก็มีพูดถึงย้ายไปฉะเชิงเทราบ้าง เขื่อนป่าสักบ้าง แต่ก็ไม่สำเร็จสักที ทั้งนี้ เพราะบ้านเรามีคนชอบค้านเยอะ คิดจะทำอะไรจึงสำเร็จยากมาก ดีไม่ดีอาจถูกกล่าวหาว่ามีผลประโยชน์ หรือเอื้อนายทุน เสียผู้เสียคนมาก็เยอะแล้ว บ้านเมืองเลยไปไม่ถึงไหน อ้าว พูดไปพูดมากลับบ่นถึงเรื่องสังคมไทยไปเสียนี่ คือกำลังจะชื่นชมกับประเทศมาเลเซียที่เขาคิดและทำได้ตามที่คิด การตั้งเมืองปุตราจายา ห่างจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ไกลพอสมควร นั่งรถก็คงเกือบชั่วโมง กว่าเมืองจะขยายมาติดกันคงนานทีเดียว การมาตั้งเมืองศูนย์ราชการใหม่ ทำให้กัวลาลัมเปอร์ หลวมขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รถราไม่ติด หรือติดน้อยมาก การปรับผังเมืองเพื่อสร้างระบบขนส่งมวลชนมีประสิทธิภาพมาก จากที่เป็นเมืองธรรมดาไม่ต่างจากประเทศไทยมากนัก กลับกลายเป็นเมืองที่มีความเจริญและมีความสะดวกสบายเกือบเทียบเท่าสิงคโปร์ไปแล้ว การย้ายเมืองศูนย์ราชการอีกประเทศที่สุดโต่งไปอีกด้าน คือ กรุงเนปิดอว์ ของเมียนมา ที่นั่นย้ายไปไกลลิบแบบหนีเข้าป่าดงไปเลย ทั้งเมืองจึงมีแต่ตึกอาคารทำงานของราชการ อาจมีตลาดอยู่บ้างก็เป็นศูนย์การค้าใหญ่ไม่กี่แห่ง และก็มีโรงแรมใหญ่ๆ ที่ไม่ค่อยมีแขกพักมากนัก มาจบเรื่องเมืองหลวงที่เมียนมา แต่ยังมีเรื่องเล่าอื่นอีกเยอะ รออ่านครับ
ชาญพิทยา ฉิมพาลี
chanpithya@apterr.org
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี