รมว.สธ.สั่งเก็บข้อมูล
ข่าวกัญชารักษาเอดส์
ไฟเขียว2รพ.ปลูกแล้ว
รมว.สาธารณสุข สั่ง สสจ.เพชรบูรณ์ ลงพื้นที่เก็บข้อมูลปมผู้ป่วยอ้างใช้น้ำมันกัญชา 24 วันหายจาก HIV ระบุ ทั่วโลกยังไม่มีรายงาน ด้านเลขาฯอย. เผยรพ.อาจารย์ฟั่น-รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร ผ่านการพิจารณาเบื้องต้น ให้ปลูกกัญชาทางการแพทย์ ย้ำ แม้เปิดให้ใช้กัญชาแล้วแต่ต้องควบคุม ไม่อนุญาต โฆษณา-ซื้อ ขายเสรี ฝ่าฝืนจำคุก 1-10 ปี
เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่าได้มอบหมายให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเพชรบูรณ์ หรือสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขลงไปตรวจสอบข้อเท็จจริง จากกรณีมีรายงานข่าวว่าสามี ภรรยา คู่หนึ่งที่ ต.พุทธบาท อ.ชนแดน จ.เพชรบูรณ์ ติดเชื้อเอชไอวี มากว่า 20 ปี โดยภรรยาป่วยระยะสุดท้าย นอนไม่ได้สติ ทั้งคู่เคยเข้ารับการรักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบัน แต่อาการไม่ดีขึ้นโดยเฉพาะภรรยาอาการทรุดหนัก จากร่างกายไม่ตอบสนองใดๆ แต่หลังจากพยาบาลวิชาชีพแนะนำให้ทดลองใช้น้ำมันสกัดจากกัญชาได้เพียง 9 วัน อาการก็ดีขึ้นเริ่มขยับตัวได้ และจนถึงวันนี้ใช้มาได้ 24 วัน สามารถลุกขึ้นนั่งพูดคุยโต้ตอบเริ่มช่วยเหลือตัวเองได้ โดยยืนยันว่า ไม่ได้ให้ลงไปเพื่อจับผิด แต่จะไปดูว่าจริงหรือไม่ หากจริงคงเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อไป
รมว.สาธารณสุข ระบุว่า ที่ผ่านมาไม่เคยมีรายงานในโลกว่ากัญชารักษาเอชไอวีได้ ส่วนใหญ่การใช้กัญชาจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการบรรเทาอาการที่เกิดจากโรคมากกว่า ไม่ใช่การรักษาโรคโดยตรง อาทิ อาการปวด แล้วน้ำมันกัญชาที่ไม่ได้เอามาตรวจสอบค่าสารสำคัญก็ยังบอกอะไรไม่ได้ เพราะแต่ละขวดมีปริมาณสารสำคัญแตกต่างกัน
นพ.ปิยะสกล กล่าวว่า ในเรื่องเกี่ยวกับการติดเชื้อเอชไอวีในประเทศไทยวันนี้ระบบสุขภาพของไทยให้การดูแลหมดตั้งแต่ต้นจนจบ เพราะฉะนั้นขณะนี้ผู้ป่วยเสียชีวิตจากการติดเชื้อเอชไอวีน้อยมาก หากมีโรคอื่น เพราะมีการให้ยาต้านไวรัสทันทีทุกคนรายที่มีการตรวจเจอเชื้อไวรัสเอชไอวี โดยไม่มองว่าระดับซีดีโฟว์ (CD4) เท่าไหร่ และเครือข่ายภาคประชาชน เอ็นจีโอด้านเอชไอวี/เอดส์ ก็มีความเข้มแข็งในการดูแลติดตามผู้ติดเชื้อ เมื่อกินยาต้านตามที่แพทย์สั่งสุขภาพจะเหมือนคนปกติเลย มีชีวิตที่ยืนยาว ก็เหมือนคนเป็นโรคเบาหวาน ที่กินยาต่อเนื่อง คุณภาพชีวิตดีมาก อาจจะมีบ้างเรื่องปัญหาการตีตรา ที่เรากำลังแก้ไข วันนี้เรื่องการแก้ปัญหาเอชไอวี ประเทศไทย 1 ในประเทศในโลกที่ทำได้ดี
ด้าน นพ.ประพันธ์ ภานุภาค ผอ.ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลว่าน้ำมันกัญชาสามารถลดเชื้อเอชไอวีได้หรือไม่ ทั้งนี้เชื่อว่าการได้รับน้ำมันกัญชาน่าจะทำให้ร่างกายกระชุ่มกระฉวยขึ้น แต่ขณะนี้ยังยืนยันว่ายาอะไรก็ไม่ดีเท่ากับยาต้านเชื้อเอชไอวี ที่ไทยแจกฟรีในขณะนี้ ขอเตือนผู้ที่ติดเชื้อฯ ว่าอย่าไปเชื่อเรื่องการใช้สมุนไพรรักษาโรค จนทิ้งการรักษาหลักหรือไม่รับประทานยา เพราะอาจจะเป็นภัยกับทั้งตัวของผู้ป่วยและภรรยาเอง
นายอภิวัฒน์ กวางแก้ว ประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ประเทศไทย กล่าวว่า กัญชาไม่ใช่ยาครอบจักรวาล กรณีมีข่าวที่เพชรบูรณ์นั้นที่บอกว่าถ้าผลตรวจเป็นลบ ต้องดูว่าที่ผ่านมาเขารักษาด้วยยาต้านไวรัสจนสามารถกดเชื้อเอชไอวีต่ำมากๆ หรือไม่ อีกประเด็นเราไม่รู้ว่าที่นอนติดเตียงเพราะป่วยเป็นโรคฉวยโอกาสอื่นๆ หรือไม่ ต้องแยกแยะการใช้น้ำมันกัญชาที่อาการดีขึ้นแต่ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเอชไอวี
ปัจจุบัน การรักษาเอชไอวีที่เป็นมาตรฐานทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยคือการรับยาต้านไวรัสให้เร็วที่สุด ดังนั้นขอผู้ติดเชื้อฯ อย่าผลีผลาม หากทิ้งการรักษาด้วยยาต้านไวรัสฯ หันไปพึ่งการรักษาทางเลือกที่ยังไม่มีข้อพิสูจน์ อาจจะทำให้เสี่ยงเกิดการดื้อยา รักษายาก ซึ่งเราเคยมีบทเรียนมาแล้วในอดีต
ทางด้าน นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดหาน้ำมันกัญชาให้กับผู้ป่วยที่จำเป็นต้องใช้ โดยในระยะเปลี่ยนผ่านที่ได้ขอกัญชาแห้งของกลางจาก ป.ป.ส. จำนวน 30 ตัน ส่งให้กรมวิทยาศาสตร์ตรวจสอบความปลอดภัยนั้นขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ ผลยังไม่ออก ขณะเดียวกันก็มีหลายหน่วยงานที่ดำเนินการปลูกกัญชาเตรียมสกัดทำยาเอง ขณะนี้มี 6-7 หน่วยงานที่มาขออนุญาตปลูก เช่นล่าสุด เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม ที่ผ่านมา รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร ร่วมกับวิสาหกิจชุมชน และโรงพยาบาลพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ร่วมกับวิสาหกิจชุม ที่ขออนุญาตเข้ามาเพิ่ม ก็ได้ผ่านการพิจารณาเบื้องต้นไปแล้ว
นพ.ขวัญชัย วิศิษฐานนท์ ผู้อำนวยการสถาบันการแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงการพิจารณาน้ำมันกัญชาของ นายเดชา ศิริภัทร ประธานมูลนิธิข้าวขวัญ จ.สุพรรณบุรี เป็นตำรับยาหมอพื้นบ้านที่มีกัญชาปรุงผสม ว่า จากหลักเกณฑ์การพิจารณารับรองตำรับยาที่มีกัญชาปรุงผสมของหมอพื้นบ้าน ทั้ง 5 ข้อ คือ 1.มีส่วนผสมของกัญชา 2.มีแหล่ความรู้อ้างอิง 3.มีประสบการณ์ในการใช้ มีหลักฐานแสดงประสิทธิภาพ 4.การพิจารณาตัวยาสมุนไพรที่เป็นวัตถุอันตราย และ 5.หลักเกณฑ์อื่นๆ พบว่า น้ำมันกัญชาของนายเดชาที่ยื่นเสนอเข้ามานั้น แม้คณะกรรมการด้านการประเมินรับรองตำรับยาแผนไทยที่มีกัญชาปรุงผสมฯ จะยังไม่ได้หยิบขึ้นมาพิจารณา แต่หากใช้เกณฑ์ทั้ง 5 ข้อเข้ามาพิจารณาก็คิดว่าไม่น่ามีปัญหาอะไรในการรับรอง
นพ.ขวัญชัย ระบุว่า จากสูตรเบื้องต้น ตำรับยามีการใช้กัญชาแน่นอนโดยนำมาหุงในน้ำมันมะพร้าว ซึ่งก็ไม่ได้มีวัตถุอันตรายแต่อย่างใด เพียงแต่อาจจะต้องขอข้อมูลเพิ่มว่าการสกัดด้วยน้ำมันจะดึงเอาสารสำคัญที่ละลายในน้ำหรือแอลกอฮอล์ออกมาได้อย่างไร นอกจากนี้ อาจจะขอให้เพิ่มเติมสมุนไพรเข้ามาในตำรับอีก 1-2 ตัว เพราะตำรับยา คือ ต้องมีสมุนไพรหลายตัว แต่สูตรน้ำมันกัญชาใช้เพียงกัญชาเพียงอย่างเดียว ซึ่งนายเดชาก็พร้อมที่จะเพิ่ม โดยอาจเพิ่มสมุนไพรรสร้อนเข้ามาก็ได้ เช่น พริกไทย ขมิ้นชัน เป็นต้น เพื่อลดผลข้างเคียงของกัญชาซึ่งเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์เย็น ที่อาจทำให้ลำไส้ กระเพาะอาหาร บีบตัวน้อยลง ตำรับก็จะมีความครบเครื่องยิ่งขึ้น ขณะที่ประสบการณ์ในการใช้ของนายเดชา แม้จะไม่ได้มีงานวิจัย แต่ก็มีการเก็บเคสถึง 5,000 ราย ยืนยันว่ามีความปลอดภัย มีประสิทธิผล หากผ่านการรับรองเป็นตำรับยาหมอพื้นบ้านที่มีกัญชาปรุงผสม นายเดชาจะสามารถจ่ายตำรับยาดังกล่าวให้แก่ผู้ป่วยในชุมชนได้
สำหรับการพิจารณาตำรับยาหมอพื้นบ้านที่มีกัญชามีเสนอเข้ามา 59 ตำรับจาก 22 จังหวัด พิจารณาแล้ว 15 ตำรับ ผ่านการรับรอง 10 ตำรับ ไม่ผ่าน 5 ตำรับ โดยจะมีการพิจารณาครั้งถัดไปในวันที่ 12 มิถุนายน 2562 โดยวันที่ 10 มิถุนายน จะมีการนัดหารือร่วมกับนายเดชา คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงการสกัดด้วยน้ำมันมะพร้าว อย่างไรก็ตาม ตำรับยาหมอพื้นบ้านที่มีกัญชาปรุงผสมยังสามารถเสนอเข้ามาที่กรมการแพทย์แผนไทยฯ ได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ได้จำกัดแค่ 59 ตำรับ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี