เมื่อเร็วๆ นี้ สาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.) จัดการสัมมนา “บ้านเมืองก็เรื่องของเรา : ประชาธิปไตยกับความเป็นเมือง”โดยมีหัวข้อย่อย “ประชาธิปไตยกับความเป็นเมือง” เนื่องในโอกาสครบรอบ 37 ปี การสถาปนาสาขาวิชารัฐศาสตร์ มสธ. ซึ่งวิทยากรท่านต่างๆ ได้ชี้ให้เห็นว่าสังคมเมือง รวมถึงการปกครองระดับท้องถิ่นมีความสำคัญอย่างไรกับการพัฒนาของระบอบประชาธิปไตย
ผศ.ดร.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ อาจารย์ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เริ่มต้นอย่างน่าสนใจว่า “คนในเมืองมีที่มาหลากหลาย ไม่ใช่คนในเครือญาติหรือคนบ้านเดียวกัน” ตัวอย่างเห็นได้ชัดคือ “หลายคนที่อยู่ในกรุงเทพมหานคร (กทม.) เมื่อมีโอกาสหยุดยาวก็มักจะอยากกลับบ้านที่ต่างจังหวัดเสมอ” สะท้อนภาพ “คนที่อยู่ในกรุงเทพฯ จำนวนมากไม่คิดว่าตนเองเป็นคนกรุงเทพฯ” ในทางรัฐศาสตร์จึงถือว่าคนในเมืองมีลักษณะพิเศษ
“คนอยู่ในเมืองมีความหลากหลายไม่ต้องรู้ไม่ต้องสนใจ ฉันเดินกลับบ้านฉันก็เปิดห้องเข้าไป ไม่ต้องทักทายเพื่อนบ้าน ไม่ต้องเรียกลุง ป้า น้า อา ข้างบ้าน ฉันจะอยู่ของฉันคนเดียว พรุ่งนี้ฉันก็ย้ายไปอยู่ตรงอื่นได้ ในทางเศรษฐกิจอยู่ในเมืองก็คงไม่ได้ทำนาไม่ได้ทำการเกษตรเท่าไร แต่ในทางการเมืองมันมีอีกคำที่กำหนดความเป็นไปในเมือง คือคำว่าซิติเซน (Citizen) หรือพลเมือง มันเป็นรากฐานที่ทำให้เราเข้าใจสิ่งที่เรียกว่าประชาธิปไตย เข้าใจความเป็นส่วนรวม เข้าใจความเท่าเทียมเสมอภาค
วิธีคิดทางรัฐศาสตร์จำนวนมากไม่ค่อยปรากฏว่ามีนักวิชาการหรือนักปรัชญาทางรัฐศาสตร์คนไหนคิดทฤษฎีทั้งหมดโดยอยู่ในชนบท ส่วนใหญ่เขาอยู่ในเมือง ถ้าไม่ใช่คนมีอันจะกินในเมืองก็อาจจะรับใช้เจ้านายในเมือง ส่วนใหญ่เมืองมันพัฒนาไปเรื่อยๆ มันก็เปลี่ยนแปลงไปเสริมอำนาจของคนเหล่านี้ เป็นรากฐานของการเกิดสาธารณรัฐ การเกิดการมีส่วนร่วมการเกิดประชาธิปไตย และเป็นรากฐานความคิดว่าทุกคนในเมืองต้องเสมอกันตามกฎหมาย กฎหมายเป็นตัวปกครองเราไม่ใช่ผู้ปกครองที่มีความต่ำสูงเท่านั้น” อาจารย์พิชญ์ อธิบาย
นักรัฐศาสตร์จากสามย่านผู้นี้ กล่าวอีกว่า “การเมืองที่เราต่อสู้กันไม่ใช่เพียงการให้มีรัฐธรรมนูญอย่างเดียว แต่มันเริ่มมาจากเรื่องใกล้ตัว” เช่น ปัญหาการจราจรติดขัด มลพิษ เข้าไม่ถึงการมีที่อยู่อาศัย สาธารณสุข ฯลฯ แล้วก็ตั้งคำถามว่า “เรื่องเหล่านี้ใครควรมีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบ? และประชาชนจะเข้าไปตรวจสอบการทำงานของผู้มีอำนาจหน้าที่นั้นได้อย่างไร?” แต่ในการเรียนการสอนวิชารัฐศาสตร์มักจะลืมเรื่องเหล่านี้ เน้นสอนแต่เรื่องปรัชญาเชิงนามธรรม เช่น ความยุติธรรมคืออะไร? ผู้ปกครองที่ดีควรเป็นอย่างไร? เป็นหลักซึ่งเป็นความรู้เพียงด้านเดียว
ทั้งที่ทฤษฎีการเมืองสมัยใหม่ จุดเริ่มต้นก็มาจากเสียงเรียกร้องให้ผู้ปกครองที่ได้รับอำนาจจากประชาชนต้องมีความรับผิดชอบด้วยทั้งสิ้น เช่น “ในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม..ผู้คนอพยพจากชนบทเข้ามาหางานทำในเมือง เกิดชุมชนหนาแน่น สิ่งที่ตามมาคือปัญหาโรคระบาด” ในประเทศไทยก็มีตัวอย่าง “คำว่าสุขาภิบาลที่ต่อมากลายเป็นเทศบาล ภารกิจแรกๆ คือการดูแลปัญหากลิ่นอุจจาระ-ปัสสาวะ และความสะอาดของตลาดในเมือง” ก่อนจะพัฒนาเป็นเรื่องการปกครองท้องถิ่นในระยะต่อไป แต่ต้องไม่ลืมว่า “การเมืองเป็นเรื่องของพลเมือง” ไม่ใช่เฉพาะผู้ปกครอง
“มันเป็นไปไม่ได้ที่การพัฒนาเมืองของเราจะทำได้แค่การจ้างที่ปรึกษาหรือมีสถาปนิกคนเดียวมาออกแบบเมืองแล้วเมืองมันจะอยู่ได้ มันก็เหมือนบ้านที่คุณไปจ้างสถาปนิกระดับโลกมาออกแบบบ้านให้สวยที่สุด แต่ทุกวันคุณไม่กวาดไม่ถู ไม่ทำความสะอาด ไม่บริหาร ไม่มีสตางค์มาดูแลมันมันก็เจ๊ง ของแบบนี้เป็นเรื่องใกล้ตัว ประชาธิปไตยมันเป็นเรื่องของการตัดสินใจส่วนหนึ่ง แต่มันเป็นเรื่องของการอยู่ด้วยกัน ฉะนั้นเราต้องคุยกันว่าถ้าอยากให้เมืองดีขึ้นเราจะสร้างพลเมืองอย่างไร?” อาจารย์พิชญ์ กล่าว
ขณะที่ ผศ.ดร.นิรมล กุลศรีสมบัติ อาจารย์ภาควิชาการวางแผนภาคและเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เริ่มต้นด้วยคำกล่าวของ วินสตัน เชอร์ชิล(Winston Churchill) อดีตนายกรัฐมนตรีผู้ยิ่งใหญ่ของอังกฤษที่ว่า “We shape our buildings, thereafter they shape us (เริ่มแรกเราเป็นผู้สร้างอาคาร แต่หลังจากนั้นอาคารได้สร้างความเป็นตัวเรา)” ซึ่งอาจตีความได้ว่า “เมืองที่เราอยู่อาศัยนั้นได้หล่อหลอมพฤติกรรมบางอย่างให้เกิดขึ้นในตัวเราด้วย” หากนำมาเชื่อมโยงกับการออกแบบและพัฒนาเมือง
เช่น “คนในเมืองนั้นเดินทางอย่างไร?” ใช้ชีวิตด้วยการเดินขี่จักรยาน หรือต้องใช้รถยนต์เดินทางกันวันละ 2-3 ชั่วโมง “คนในเมืองนั้นพักผ่อนอย่างไร?” ในห้างสรรพสินค้า สวนสาธารณะ หรือพิพิธภัณฑ์ “คนในเมืองนั้นจับจ่ายใช้สอยอย่างไร?” ด้วยการขับรถไปห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ หรือซื้อของในร้านค้าเล็กๆ ละแวกบ้าน “แต่เมื่อเมืองสร้างเรา สุดท้ายย่อมวนกลับไปที่เราจะพยายามสร้างเมืองอีก” ผ่านวิธีคิดและอุดมการณ์ทางการเมือง
อาจารย์นิรมล ยกตัวอย่างภาพ “ถนนที่มีสะพานลอยคนข้าม” สามารถอธิบายได้ว่า “แม้มุมหนึ่งผู้สร้างสะพานลอยจะห่วงความปลอดภัยของคนข้ามถนน แต่อีกมุมหนึ่งก็ตีความได้ว่าต้องการให้ผู้ใช้รถยนต์ขับได้เร็วโดยไม่ต้องหยุด” ซึ่งในความเป็นจริง “ไม่ใช่ทุกคนที่จะใช้สะพานลอยได้” หรือภาพ “ทางด่วนเหนือบ้านคนซึ่งเชื่อมระหว่างแหล่งงานใจกลางเมืองกับหมู่บ้านย่านชานเมือง” การพัฒนาเมืองลักษณะนี้ส่งผลให้ “ผู้คนนิยมซื้อรถยนต์ส่วนบุคคลมาใช้” เห็นได้จากยอดขายรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น เป็นต้น
“พอเราอยู่ในเมืองที่งานอยู่ทางหนึ่งบ้านอยู่ทางหนึ่ง รถยนต์เป็นสิ่งที่เราขาดไม่ได้ แน่นอนการโตของเมืองที่เป็นชานเมืองแบบนี้ความหนาแน่นต่ำ มันไม่คุ้มค่าต่อการลงทุนระบบราง ลงทุนสาธารณูปโภคต่างๆ ก็แพง นำมาซึ่งการต้องพึ่งพารถยนต์มากแล้วก็การใช้เวลาในการเดินทาง เคยเห็นตัวเลขหนึ่งที่น่าสะพรึงมาก คนกรุงเทพฯ ใช้เวลาในรถยนต์ 800 ชั่วโมง หรือเท่ากับ 1 เดือนกับอีก 3 วันต่อปี คุณเสียอะไรไปบ้าง เมืองส่งผลกับตัวเรา สังคมและสิ่งแวดล้อม ถ้าเราอ้วน จนไม่มีแฟน อย่าเพิ่งว่าตัวเอง ให้ว่าเมืองก่อน
เมืองทำให้เราต้องเดินทางวันละ 2-3 ชั่วโมง เมืองทำให้เรากลับบ้านแล้วเหนื่อย ไม่มีเวลาที่จะทำอาหารดีๆ รับประทาน ต้องซื้อแกงถุงเมืองทำให้เราเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางแต่ละเดือนเยอะมาก มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่าในภูมิภาคของเรา กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่คนมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางเป็นสัดส่วนสูงที่สุดในรายจ่ายประจำเดือน คือ 1 ใน 5 ของรายจ่ายคุณจ่ายไปกับการเดินทาง เมืองอื่นเขาเสียค่าใช้จ่ายกับค่าบ้าน การท่องเที่ยว การเรียนรู้หาสิ่งดีๆ ให้ตัวเองที่เกี่ยวข้องกับการยกระดับคุณภาพชีวิต” อาจารย์นิรมล กล่าว
อาจารย์นิรมล ฝากประเด็นชวนคิด “มีคำถามมากมายเกี่ยวกับเมือง” เช่น เมืองที่เติบโตแบบนี้มีที่มาอย่างไร? กระบวนการตัดสินใจในการพัฒนาเป็นแบบไหน? การมีส่วนร่วมของคนที่อยู่ในเมืองแค่ไหน? “เพราะเมืองนั้นมีคำสำคัญคือการเป็นพลเมือง หมายถึงเรารู้สึกเป็นเจ้าของ ถ้าไม่ดีเราสามารถออกความเห็นและมีส่วนในการเปลี่ยนแปลงได้” เมืองที่เราอยู่ให้สิ่งนี้ได้หรือเปล่า?
ผศ.ดร.วสันต์ เหลืองประภัสร์ อาจารย์สาขาวิชาบริหารรัฐกิจ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า สังคมไทยที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ “อะไรๆ ก็ต้องใช้เงินซื้อ” เช่น บ้านที่อยู่ใกล้โรงเรียน ใกล้โรงพยาบาล “หากกลไกรัฐดูแลเด็กกับผู้สูงอายุได้ดี คนวัยทำงานจะเหนื่อยน้อยลงมาก” แม้ อปท. จะลงมือทำไปบ้างแล้วแต่น่าจะสามารถทำได้มากกว่านี้อนึ่ง “ผู้สูงอายุในเขตเมืองค่อนข้างน่าวิตกกว่านอกเมือง” นอกเมืองมีชมรมผู้สูงอายุค่อนข้างเข้มแข็ง คนรู้จักกันหมด พูดคุยกันไม่เหงา แต่ผู้สูงอายุในเมือง เกษียณมาอยู่หมู่บ้านจัดสรร แล้วก็ไม่รู้จะพูดคุยกับใคร หรือใครจะดูแล
“ต้องจ้างคนมาอยู่เป็นเพื่อน ไม่ได้เป็นพยาบาลด้วย มาอยู่เป็นเพื่อนเฉยๆ นี่แหละ เดือนละหมื่นกว่าบาทปีหนึ่งก็แสนสอง แต่ถ้าท้องถิ่นมีกลไก เช้ามาเอารถตู้มารับเอาไปอยู่ด้วยกันที่ศูนย์ประชาคม หรือจัดกิจกรรมโน่นนี่นั่น ซึ่งหลายแห่งทำแล้ว มีโรงเรียนผู้สูงอายุ เอามาแต่งชุดคอซอง อะไรแบบนี้ มันน่ารักมาก ถ้ามีกิจกรรมแบบนี้ ดูแลผู้สูงอายุได้ดี ปีหนึ่งผมประหยัดงบได้เท่าไร นี่แหละคือคุณภาพชีวิต เพียงแต่มันไม่ได้เกิดทุกพื้นที่ มันยังทำได้ดีเป็นหย่อมๆ แต่ภาพรวมก็ไปได้ไกลแล้วถ้าเทียบกับเมื่อ 20 ปีก่อน” อาจารย์วสันต์ ยกตัวอย่าง
อาจารย์วสันต์ ยังกล่าวถึง จังหวัดขอนแก่น ที่พยายามทำลายข้อจำกัดในประเด็น “หน่วยงานรัฐอยู่คนละสังกัดทำให้เมืองพัฒนาได้ยาก” ผ่านการขับเคลื่อนโดยภาคเอกชนในพื้นที่ ระดมทุนกันได้ 200 ล้านบาท ก่อตั้ง“บริษัทขอนแก่นพัฒนาเมือง (KKTT)” กลายเป็น “พื้นที่กลาง” ให้ทุกฝ่ายมาถกเถียงกันจนออกมาเป็น “ยุทธศาสตร์ขอนแก่น 6 ด้าน” ซึ่งทุกด้านมีโครงการรองรับเพื่อที่จะทำให้บรรลุผลอย่างเป็นรูปธรรม ก่อนนำไป “ขายไอเดีย” ให้ผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจในแต่ละเรื่อง ตั้งแต่ อปท. ผู้ว่าราชการจังหวัด กระทรวง แม้แต่บริษัทเอกชนที่อยากลงทุน
อีกด้านหนึ่ง ณัฐธิดา เย็นบำรุง นักวิจัยจากศูนย์ศึกษามหานครและเมือง มหาวิทยาลัยรังสิต เล่าถึงประสบการณ์ในการศึกษาชีวิตในเมืองต่างๆ อาทิ ในภาคใต้ “อำเภอสายบุรี” ใน จ.ปัตตานี พื้นที่ที่มีเหตุความรุนแรงมานานจนดูเหมือนสิ้นหวังในการพัฒนา แต่ก็มีคนรุ่นใหม่จัดกิจกรรมด้านศิลปะเพื่อหวังให้คนเชื้อสายจีนกับคนมุสลิมได้พบปะพูดคุยกัน แม้ความรุนแรงยังไม่หายไปเสียทีเดียวแต่ก็เป็นความพยายามในการสร้างสันติภาพ
“อำเภอเมืองสงขลา” ใน จ.สงขลามีภาคประชาชนร่วมกับสถาบันการศึกษา และ อปท. ร่วมกันพัฒนาโดยตั้งเป้าหมายว่าจะทำให้เขตเมืองเก่าได้รับการรับรองเป็นมรดกโลก หรือที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ “อำเภอเมืองอุดรธานี” จ.อุดรธานี ที่นี่ไม่เพียงแต่เป็นเมืองเศรษฐกิจขนาดใหญ่ แต่ยังเป็นกรณีศึกษากระบวนการสร้างการมีส่วนร่วมของคนในเมือง ให้คนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน ทลายข้อจำกัดเรื่องที่แต่ละคนมีต้นสังกัดที่แตกต่าง แล้วหันหน้ามาพูดคุยกัน ร่วมพัฒนาเมืองไปด้วยกัน และยังมีอีกหลายตัวอย่างทำนองนี้ทั่วประเทศไทย
“เทศบาลตำบลหนองป่าครั่ง” ใน จ.เชียงใหม่ มีการจัดรัฐสวัสดิการดูแลตั้งแต่เกิดจนตาย ซึ่งแม้เป็นเทศบาลที่มีงบประมาณไม่มาก เพียงร้อยกว่าล้านบาทเท่านั้น แต่ที่น่าสนใจคือภาคประชาชนเต็มใจลงขันระดมทุนช่วยด้วยอีกแรง ส่วน อปท. ก็เน้นใช้จ่ายงบเพื่อสวัสดิการต่างๆ เพราะโครงสร้างพื้นฐานมีพร้อมแล้ว “ปรากฏการณ์พลเมืองผู้ตื่นตัวลุกขึ้นมาดูแลพื้นที่ของตนเองเกิดขึ้นไปทั่วประเทศ” แม้กระทั่งในกรุงเทพฯ ก็ยังมีกลุ่ม “Mayday”ที่ลงมือทำป้ายรถเมล์บอกสายรถต่างๆ ว่าวิ่งผ่านอะไรบ้าง จน กทม. อันเป็นหน่วยงานของรัฐต้องเชิญเข้าไปมีส่วนร่วม
“พอพูดประชาธิปไตยระดับชาติเราส่ายหน้าแล้ว แต่ระดับเมืองมันมีความหวัง เชียงใหม่ ขอนแก่น อุดรธานี วันนี้ก้าวหน้ามาก พัทยา ภูเก็ต เป็นเมืองระดับโลก กรุงเทพฯ เป็นมหานครแห่งเอเชีย พอเราพูดเป็นหย่อมๆ เราเห็นความหวังแล้วเราคิดว่าเราควรจะทำอะไร เราเรียกร้องต่อรัฐก็เรียกร้องไปแต่เราก็ต้องเข้าไปช่วยเขา” ณัฐธิดา กล่าวในท้ายที่สุด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี