“ชำนาญนิติวิชา งามสง่าด้วยคุณธรรม นำไทยในสากล อุทิศตนเพื่อสังคม” คำขวัญของ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่บ่งบอกอัตลักษณ์ของบัณฑิตในคณะฯ ที่ต้องมีความเป็นเลิศทางด้านวิชาการ มีคุณธรรม พร้อมช่วยเหลือสังคม ซึ่งคณบดีคนปัจจุบันผศ.ดร.ปารีณา ศรีวนิชย์ กล่าวว่า ไม่เพียงแต่การเรียนในห้องเรียนเท่านั้น แต่นิสิตยังต้องรู้จักสังคมและการทำงานร่วมกับผู้อื่นด้วย จึงได้ส่งเสริมให้มีกิจกรรมต่างๆ เพื่อสังคม เพราะการมีจิตสำนึกเพื่อสังคมเป็นเรื่องพื้นฐานที่ทุกคนควรมีในฐานะการเป็นพลเมือง
ดังหลากหลายเรื่องราวจากนิสิตและบัณฑิตนิติศาสตร์จุฬาฯ ที่เคยเข้าร่วมกิจกรรมเพื่อสังคม อาทิ จัวรอง โจว ผู้เข้าร่วมกิจกรรม “โครงการสัมผัสชีวิตหลังกำแพง” ของชมรมนิติสังคมปริทรรศน์ เล่าว่า โครงการสัมผัสชีวิตหลังกำแพงเป็นการจัดร่วมกันกับ สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) ซึ่งผลักดัน
เกี่ยวกับมาตรฐานในการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิง โดยผู้บัญชาการเรือนจำอยากให้นิสิตได้เรียนรู้กฎหมายในเรือนจำ และมอบความรู้ให้กับผู้ต้องขัง โดยผลตอบรับดีมากเกินกว่าที่คิดไว้
“พี่ๆ ผู้ต้องขังหญิงพร้อมที่จะให้ข้อมูลและรับความรู้ด้านกฎหมายจากเรา ทำให้เรารู้สึกว่า ความรู้ที่เรามีสามารถช่วยเหลือพี่ๆ ผู้ต้องขังหญิงในกระบวนการยุติธรรมได้จริง สิ่งที่ได้รับกลับมาจากโครงการนี้เหนือความคาดหมายมากๆ เป็นโลกใหม่ที่เราไม่เคยรู้ ไม่เคยสัมผัส ทำให้เราเห็นภาพขยายขบวนการความคิดมากขึ้น
เกิดความลึกซึ้งกับคำว่า กฎหมายยิ่งขึ้น กฎหมายเป็นตัวกำหนดชีวิตของคนที่อยู่ในเรือนจำ สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตคน ไม่ใช่แค่เรื่องคนกับกฎหมาย แต่ยังเกี่ยวข้องกับความเป็นคนความเป็นมนุษย์อีกด้วย”จัวรอง โจว กล่าว
เช่นเดียวกับ วชิรญาณ์ มานะศิลป์ บัณฑิตที่เคยเข้าร่วมโครงการเดียวกันเปิดเผยว่า สิ่งที่ได้รับกลับมาเป็นมากกว่าความภูมิใจและอิ่มเอมใจ เพราะได้ใช้สิ่งที่เรียนมาตอบแทนให้กับคนที่อยู่ปลายความยุติธรรม “ตอนเรียนไม่เคยมองเห็นกลุ่มนี้ รู้แต่ว่าเขาทำผิดต้องเข้าคุก แต่ไม่เคยคิดหลังจากนั้นจะต้องทำอะไรต่อ” ทั้งที่ต้องช่วยปรับสิ่งต่างๆ ของเขา ให้สามารถกลับเข้าสู่สังคมให้ได้อีกครั้งหลังพ้นโทษ
“พอเราได้ให้สิ่งที่เรามี คือความรู้กฎหมายกับพี่ๆ เขา เป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถเรียนรู้จากคนอื่นได้นอกจากทนายของเขา และสิ่งนั้นมีประโยชน์จริงๆ ทำให้ได้รู้ว่าการออกกฎหมายมาแล้ว บางทีเราก็จะลืมคิดถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสังคม และทำให้เห็นว่าปัญหาที่เกิดขึ้น บางครั้งก็เป็นปัญหาของกฎหมาย แต่บางครั้งก็เป็นปัญหาสังคม เพราะความไม่มีกฎหมาย เป็นการมอง2 มุมได้เช่นกัน” วชิรญาณ์ ระบุ
จากประเด็นชีวิตที่ก้าวพลาดจนต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำ “สิ่งแวดล้อม” ก็เป็นอีกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการมีและใช้กฎหมายภัทราภรณ์ ภัทรพิบูล นิสิตชั้นปีที่ 3 ผู้เข้าร่วมกิจกรรม “ALSA Chula Legal English Camp” เล่าว่า ได้เดินทางไปยังย่านแหลมฉบังจ.ชลบุรี ซึ่งมีทั้งท่าเรือ นิคมอุตสาหกรรม และชุมชนของชาวบ้าน พบปัญหาคือฝุ่นละอองและน้ำเสีย โดยมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องหลายฉบับ อาทิ พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535, พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ.2535 รวมถึงรัฐธรรมนูญมาตรา 58ซึ่งภาครัฐมีหน้าที่เป็นผู้กำกับดูแล
“สำหรับสิ่งแวดล้อมต้องช่วยกันปลูกจิตสำนึกให้กับทุกคนในพื้นที่นั้นๆ เพราะสิ่งแวดล้อมที่ดีย่อมนำมาซึ่งคุณภาพชีวิตและสุขภาพที่ดีของทุกคนในชุมชน สิ่งที่ได้คือได้รู้กฎหมายที่จับต้องได้ผ่านปัญหาที่เกิดขึ้นกับพื้นที่จริงๆ เหมือนเป็นการเสริมสร้างประสบการณ์นอกห้องเรียน รู้จักทักษะในการสื่อสารกับชาวบ้าน และยังได้นำเสนอประเด็นโดยใช้ภาษาอังกฤษด้วย” ภัทราภรณ์ กล่าว
ขณะที่บัณฑิตใหม่อีกรายหนึ่ง ณัฐวรา เศวตมาลย์ เปิดเผยความประทับใจที่เคยเข้าร่วม “ค่ายอาสาพัฒนาชนบท” ซึ่งเป็นโครงการที่ทำร่วมกับ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม โดยเข้าไปตั้งโต๊ะให้คำปรึกษาปัญหากฎหมายแก่ชาวบ้าน รวมถึงให้ความรู้ในเรื่องสิทธิต่างๆ “นำเสนอผ่านการแสดงละครเวทีเพื่อให้เข้าใจและจดจำได้ง่าย” เช่น หากเกิดอุบัติเหตุแล้วไม่มีคู่กรณี ระหว่างพักฟื้นยังไปทำงานไม่ได้ก็สามารถขอค่าชดเชยจากทางรัฐ หรือการทำสัญญาเงินกู้ต่างๆ ควรทำเป็นสัญญาจดจำนองดีกว่าสัญญาขายฝาก เป็นต้น
“ก่อนเดินทางไปออกค่าย คิดว่าเราต้องไปเป็นผู้ให้ แต่เมื่อไปทำประโยชน์ให้แก่ชาวบ้าน จริงๆ แล้วเราก็ยังเป็นผู้รับอยู่ดี เพราะเราได้ไปเรียนรู้วัฒนธรรม
วิถีชีวิตความเป็นอยู่ ได้รับน้ำใจการแบ่งปันของชาวบ้าน ซึ่งเมื่อเราได้ลงพื้นที่จริง ทำให้รู้ว่าคู่มือกฎหมายที่เรานำไปแจกนั้น แม้ว่าจะจัดทำให้อ่านง่ายแต่ก็ยังเป็นภาษากฎหมายที่เข้าใจยากอยู่ดี โดยคาดว่าครั้งต่อไปอาจทำเป็นการ์ตูน เพื่อให้น่าสนใจ และเข้าใจได้ง่ายขึ้น ช่วยให้คนทุกวัยสามารถรู้กฎหมาย รวมถึงอัพเดทกฎหมายที่เกี่ยวข้องในชีวิตประจำวันใหม่ๆ เพิ่มเติม” ณัฐวรา กล่าว
ไม่เพียงแต่โครงการในประเทศเท่านั้น คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยังมีความร่วมมือกับสถาบันอุดมศึกษาต่างประเทศด้วย อาทิ เรื่องเล่าของ นิธินันท์ ลีธนะกุล นิสิตชั้นปีที่ 2 ผู้มีโอกาสได้เดินทางไปดูงานที่ศูนย์กฎหมายเพื่อประชาชน ณ National University of Singapore และ Singapore Management University ประเทศสิงคโปร์ซึ่งดำเนินการโดยนักศึกษาในการให้คำแนะนำแก่ผู้ที่เข้ามาปรึกษา เช่น เรื่องกฎหมายคุ้มครองแรงงาน สวัสดิการการรักษาพยาบาล กระทั่งปัญหาครอบครัว การฟ้องร้องหย่าร้าง สิทธิ์ในการดูแลบุตร
นอกจากนี้ยังได้ไปดูงานที่ Ren Min University กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ซึ่งมีชมรมที่ให้คำปรึกษาด้านกฎหมายแก่คนทั่วไปเช่นกัน แต่จะแตกต่างตรงที่เป็นการให้คำปรึกษาทางออนไลน์ผ่านแอพพลิเคชั่น WeChat ซึ่งมีนักศึกษาอยู่ในชมรมนี้ถึง 300 คน เป็นชมรมที่ส่งนักศึกษาไปช่วยเหลืองานที่ศาล เช่น การหาข้อมูลเพิ่มเติม หรือการจัดเรียงเอกสาร การจดบันทึก ที่จะต้องนำไปใช้ในการดำเนินการทางคดีความ ขณะที่ก็มีนักศึกษาจากสิงคโปร์ที่เดินทางมายังประเทศไทย เพื่อไปทำกิจกรรมร่วมกับคณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ ที่ จ.น่าน เช่นกัน
“ที่น่านเป็นแหล่งความรู้ชั้นดีให้พวกเราได้เรียนรู้ เพราะเป็นพื้นที่ที่กฎหมายเข้ามามีบทบาทเยอะมาก อย่างเรื่องที่ดินทำกินของชาวบ้านที่จะทับซ้อนอยู่ในเขตป่าสงวน เมื่อเราได้เข้าไปศึกษาและระดมความคิดกันว่า ในลักษณะเช่นนี้จะสามารถช่วยเหลือชาวบ้านได้อย่างไร โดยอาจจะเป็นตัวกลางระหว่างชาวบ้านกับหน่วยงานรัฐให้ทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน ให้ความรู้ในเรื่องการทำมาหากิน และประนีประนอม เช่น ฤดูกาลนี้สามารถปลูกได้ แต่ช่วงเวลานี้ห้าม รวมถึงดูเรื่องการจัดการกรรมสิทธิ์ในที่ดิน” นิธินันท์ กล่าวในท้ายที่สุด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี