สั่งวาระเร่งด่วน
นายกฯจี้ล้างบางยานรก
เน้นบำบัดสกัดเสพซ้ำ
อย.เผาของกลาง16ตัน
มูลค่ากว่า2หมื่นล้าน
“วันต่อต้านยาเสพติดโลก” สธ.เจ้าภาพจัดพิธีเผาทำลายยาเสพติดของกลางกว่า 16 ตัน จาก 6,910 คดี มูลค่า 20,047ล้านบาท ขณะที่นายกฯประกาศเจตนารมณ์ กำชับจนท.ทุกฝ่ายป้องกันแก้ไขยาเสพติดเป็นวาระเร่งด่วน ย้ำแนวทางปราบปรามปัญหาเดิม ป้องกันปัญหาใหม่ บำบัดผู้เสพ
เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน ที่ศูนย์บริหารสาธารณูปโภคและสิ่งแวดล้อม นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา(อย.)กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) เป็นประธานพิธีเผาทำลายยาเสพติดให้โทษของกลางครั้งที่49ประจำปี2562 เนื่องในวันต่อต้านยาเสพติดโลก 26 มิถุนายน ของทุกปี โดยมีทูตานุทูต ผู้บริหารจากทุกส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและเอกชนและสื่อมวลชนร่วมเป็นสักขีพยาน
โดย นพ.ธเรศ ล่าวว่า ยาเสพติดให้โทษของกลางที่นำมาเผาทำลายครั้งนี้ ประกอบด้วย ยาเสพติดให้โทษของกลางที่คลังยาเสพติด สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) 16,467 กิโลกรัม จาก 6,910 คดี มูลค่ากว่า 20,047ล้านบาทได้แก่ เมทแอมเฟตามีน แอมเฟตามีนหรือยาบ้าน้ำหนักกว่า 12,369 กิโลกรัม หรือประมาณ 137ล้านเม็ด เมทแอมเฟตามีนหรือยาไอซ์น้ำหนักกว่า 3,443 กิโลกรัม เฮโรอีนน้ำหนักกว่า 143 กิโลกรัม MDMA/MDA(ยาอี/ยาเลิฟ) น้ำหนักกว่า 14กิโลกรัม โคคาอีนน้ำหนักกว่า 44 กิโลกรัม ฝิ่นน้ำหนักกว่า 258 กิโลกรัมรวมทั้งวัตถุออกฤทธิ์อื่นเช่นคีตามีน,อัลปราโซแลม,อีเฟดรีนและที่ไม่ใช่สารเสพติด เช่นโทลูอีน น้ำหนักรวมกว่า 193 กิโลกรัม
นอกจากนี้ ยังมีเมล็ดกันชงจากกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดกว่า 16,499 กิโลกรัมซึ่งของกลางทั้งหมดจะถูกเผาทำลายด้วยวิธีไพโรไลติกอินซิเนอะเรชั่น (Pyrolytic Incineration) ที่อุณหภูมิสูงไม่ต่ำกว่า 850 องศาเซลเซียส ไม่ก่อให้เกิดมลพิษในอากาศและสิ่งแวดล้อมโดยปีนี้กำหนดวันเผาทำลายยาเสพติดให้โทษ 2 วัน คือ วันที่ 26 มิถุนายนและ วันที่ 5 กรกฎาคม
นพ.ธเรศกล่าวต่อว่าจากสถิติการเผาทำลายยาเสพติดให้โทษของกลางตั้งแต่ปี 2520-2562 รวม 49 ครั้ง มีน้ำหนักรวมกว่า 145,243 กิโลกรัม มูลค่ากว่า217,390 ล้านบาท มากที่สุดได้แก่ เมทแอมเฟตามีนและแอมเฟตามีน 90,521 กิโลกรัม รองลงมาฝิ่นและอื่นๆ29,258 กิโลกรัม เฮโรอีนกว่า25,270 กิโลกรัม และเอ็คซ์ตาซี่มากกว่า 193 กิโลกรัม
นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุข ยังร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ปัญหายาเสพติดอย่างจริงจังต่อเนื่อง โดยเฉพาะการบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด โดยให้ความสำคัญในการป้องกันไม่ให้กลับมาเสพซ้ำ ซึ่งในปีงบประมาณ 2562 ตั้งเป้านำผู้เสพผู้ติดยาเสพติดเข้ารับการบำบัด 219,275 คน แบ่งเป็นระบบสมัครใจ 136,725 คน บังคับบำบัด 56,550 คน ต้องโทษ 26,000 คน ผลการดำเนินงานตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2561–18มิถุนายน2562 นำผู้เสพเข้าสู่กระบวนการบำบัดฯ แล้ว 133,962 คน คิดเป็นร้อยละ 61.09 ระบบสมัครใจ 61,360 คน ระบบบังคับบำบัด 58,864 คน และระบบต้องโทษ 13,738คนโดยมีโรงพยาบาลในสังกัดทั่วประเทศกว่า 800 แห่ง พร้อมระบบบำบัดรักษาที่ได้มาตรฐานสากล ประชาชนปรึกษาได้ที่สายด่วนปรึกษาปัญหา ยาเสพติด 1655
วันเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวคำปราศรัย เนื่องใน“วันต่อต้านยาเสพติดโลก”ประจำปี2562โดยสรุปว่าประเทศไทยในฐานะประเทศสมาชิกองค์การสหประชาชาติประกาศเจตนารมณ์ร่วมกับประชาคมโลก เพื่อรณรงค์ต่อต้านยาเสพติดทุกชนิดอย่างจริงจังต่อเนื่องโดยรัฐบาลกำหนดให้การป้องกันแก้ปัญหายาเสพติดเป็นวาระเร่งด่วนที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันและความร่วมมือระหว่างประเทศด้านยาเสพติด บรรลุผลตามพันธกรณีและวิสัยทัศน์ของอาเซียนภายในปี2562เนื่องจากปัญหายาเสพติดปัจจุบันเป็นปัญหาร้ายแรงส่งผลกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมและความมั่นคงของประเทศ รัฐบาล จึงมีแนวทางขับเคลื่อนแก้ปัญหาแบบองค์รวม ซึ่งตนเน้นย้ำเจ้าหน้าที่ให้ยึดแนวทางทำงานเรื่องการปราบปรามปัญหาเดิม ป้องกันปัญหาใหม่และบำบัดรักษาผู้เสพยาตลอดจนปลูกฝังจิตสำนึกให้เด็กและเยาวชนให้ตระหนักรู้ถึงภัยอันตรายจากยาเสพติดซึ่งการแก้ปัญหายาเสพติดจะสำเร็จเป็นรูปธรรมได้ต้องได้รับความร่วมมือร่วมใจจากทุกภาคส่วนของสังคม หยุดยั้งยาเสพติด ไม่ให้ขยายตัวออกไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี