รมว.เกษตรฯ จี้เจ้าหน้าที่รับมือฝนทิ้งช่วง ภัยแล้ง สั่งคุมพื้นที่ปลูกข้าวรอบ 2ไม่ให้เกินโควตาจัดสรรน้ำ 11 ล้านไร่ กำชับกรมฝนหลวงเติมน้ำในเขื่อน-อ่างเก็บน้ำที่ปริมาณน้ำน้อย ด้านสสนก.ชี้เขื่อนใหญ่7 แห่งน้ำเหลือต่ำกว่า 30% เข้าขั้นวิกฤติ ด้านชาวนาเลยน้ำตาตก ตัดใจไถต้นข้าวทิ้ง ส่วนบุรีรัมย์แหล่งน้ำดิบผลิตประปาเลี้ยงตัวเมือง-เขตเศรษฐกิจ แห้งขอด
เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม นายกฤษฎา บุญราช รมว.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ขณะนี้เกิดภาวะฝนทิ้งช่วงถึงกลางเดือนกรกฎาคม จากคาดการณ์สภาพอากาศของกรมอุตุนิยมวิทยา ยังระบุว่าปริมาณฝนปีนี้น้อยกว่าค่าเฉลี่ยร้อยละ 5-10 มิลลิเมตร (มม.) ฝนกระจายตัวไม่สม่ำเสมอและมีปริมาณฝนน้อย ส่งผลให้มีน้ำไม่พอสำหรับการเกษตรหลายพื้นที่นอกเขตชลประทาน อาจทำให้เกิดสถานการณ์ภัยแล้ง ขาดแคลนน้ำจากปัญหาฝนทิ้งช่วง
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ เตรียมแผนบริหารจัดการแก้ปัญหาภัยแล้งปี 2561/2562 ไว้แล้ว โดยปรับโครงสร้างการปฏิบัติงานทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค การประเมินความเสี่ยงด้านการเกษตร การกระจายเครื่องมือ เครื่องจักร ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ ตลอดจนสั่งการให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ชี้แจงทำความเข้าใจกับเกษตรกรให้ปลูกข้าวรอบ 2 ตามแผนข้าวครบวงจร 11.21 ล้านไร่ เพื่อให้ใกล้เคียงเป้าหมายที่จัดสรรน้ำได้ 11.65 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 104 ของแผน ซึ่งการบริหารจัดการน้ำช่วงฤดูแล้งปี 2561/62ระหว่างวันที่ 1พฤศจิกายน 2561-30 เมษายน 2562 สามารถจัดสรรน้ำให้เพียงพอต่อการอุปโภคบริโภค การรักษาระบบนิเวศ การเกษตรและอุตสาหกรรม 23,585 ล้าน ลบ.ม.หรือร้อยละ 103 และมีปริมาณน้ำสำรองสำหรับต้นฤดูฝน ข้อมูล ณ วันที่ 20 พฤษภาคม 18,626 ล้าน ลบ.ม.
นายกฤษฎากล่าวต่อว่า อีกทั้ง มอบหมายกรมชลประทานติดตั้งเครื่องสูบน้ำ 199 เครื่อง เพื่อสูบน้ำเติมให้โรงสูบน้ำ เพื่อผลิตน้ำประปาเติมน้ำเข้าคลองซอย ขุดลอกคลอง สร้างทำนบดินชั่วคราว ออกหน่วยบริการน้ำเพื่อการ ส่วนการเตรียมการด้านประมง ให้เกษตรกรผู้เลี้ยงเฝ้าระวัง จับสัตว์น้ำขึ้นจำหน่ายก่อน และประชาสัมพันธ์ให้งดเลี้ยงสัตว์น้ำ ป้องกันความเสียหายด้านประมง นอกจากนี้ ยังเน้นย้ำให้กรมฝนหลวงและการบินเกษตร เริ่มขึ้นปฏิบัติการฝนหลวงตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา โดยตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวง 11 หน่วยกระจายทุกภาค ขึ้นปฏิบัติการฝนหลวง 111 วัน เริ่มวันที่ 1 มีนาคม- 25 มิถุนายน ทำให้มีฝนตกคิดเป็นร้อยละ 90.09 ขึ้นปฏิบัติการ 3,024 เที่ยวบิน มีรายงานฝนตกรวม 57 จังหวัด
“ได้ให้กรมฝนหลวงฯเร่งติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อปฏิบัติการฝนหลวงในบริเวณพื้นที่การเกษตรที่ประสบปัญหา พื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค และการเติมน้ำให้เขื่อน อ่างเก็บน้ำที่มีปริมาณน้ำน้อยกว่าร้อยละ 30 แบ่งเป็นเขื่อนขนาดใหญ่ 17 แห่ง และขนาดกลาง 198 แห่ง เพื่อให้เพียงพอต่อการบริหารจัดการของพื้นที่เกษตรในเขตชลประทาน” นายกฤษฎา กล่าว
ขณะที่ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ กรมชลประทาน ระบุปัจจุบันสภาพนํ้าในอ่างเก็บนํ้าขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศมากกว่า 400 แห่ง ปริมาตรน้ำในอ่างฯ 37,474 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 49 เป็นปริมาตรนํ้าใช้การได้ 13,549 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 26 ปริมาตรน้ำในอ่างฯ เทียบกับปี 2561 (46,038 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 61) น้อยกว่าปี 2561 จํานวน 8,564 ล้าน ลบ.ม. ปริมาณน้ําไหลลงอ่างฯ 76.51 ล้านลบ.ม. ต่อวัน ปริมาณน้ําระบาย 113.61 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน ยังสามารถรับน้ําได้อีก 38,594 ล้าน ลบ.ม.
ในส่วนเว็บไซต์สถานการณ์น้ำของสำนักงานสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร(สสนก.)ระบุเขื่อนขนาดใหญ่ที่มีน้ำใช้การได้ น้ำน้อยขั้นวิกฤต ต่ำกว่าร้อยละ 30 เช่น เขื่อนอุบลรัตน์ 0% เขื่อนสิรินธร 1% เขื่อนคลองสียัด 6% เขื่อนป่าสักฯ 7% เขื่อนขุนด่านปราการชล 9% เขื่อนสิริกิติ์ 9% เขื่อนภูมิพล 10%เขื่อนกระเสียว 10% เขื่อนแควน้อย 12% เขื่อนลำพระเพลิง 13% เขื่อนทับเสลา 13% เขื่อนนฤบดินทรจินดา 13% เขื่อนวชิราลงกรณ 15% เขื่อนจุฬาภรณ์ 16% เขื่อนแม่กวง 18% เขื่อนห้วยหลวง 19% เขื่อนศรีนครินทร์19% ทั้งนี้ ได้เตือนภัยฝนในระดับเฝ้าระวังพิเศษ สีเหลืองเข้ม ในจ.ตราด มีปริมาณฝน 184.2 มม. และสถานการณ์พายุ ยังไม่มีพายุเข้าใกล้ประเทศไทยขณะนี้
สำหรับสถานการณ์ภัยแล้งที่จ.เลย ระยะนี้ฝนทิ้งช่วงมากว่า 2 เดือนแล้ว ทำให้ชาวบ้านและเกษตรกรต้องเผชิญสภาพแล้งจัด เดือดร้อนหนัก โดยเฉพาะชาวนาที่ปลูกข้าวนาปีไปแล้วมากกว่า 1-2 เดือน ข้าวแห้งเหี่ยวตาย เกษตรต้องทำใจ ไถต้นข้าวทิ้ง โดยนางสาถิน มาระวัง เกษตรกรบ้านท่าข้าม ต.ชัยพฤกษ์ อ.เมืองเลยเผยว่า ตนปลูกข้าว 5 ไร่ ตอนนี้ไม่มีน้ำรดต้นข้าวสักหยด ดินในนาแตกระแหง ตนตัดสินใจจ้างรถไถมาไถทับนาแปลงเดิม ลงทุน ซื้อ ข้าว กข 6 ใหม่ อีก 5 ไร่ หรือประมาณ 50 กิโลกรัม เป็นการลงทุน รอบ 2 ที่ไม่อาจปฎิเสธได้ ต้องเสียเงินไปกว่า 17,000 บาท ตอนนี้ต้องรอฝนตกอย่างเดียว น้ำในคลอง แม่น้ำบริเวณใกล้ๆ ไม่มีเลย ทำอะไรไม่ได้ แต่ต้องทำ เพราะต้องปลูกข้าวกิน แต่หากฝนไม่ตกลงมาอีกก็คงหมดตัว เป็นหนี้สิน ต่อไป
เช่นเดียวกับ ที่จ.บุรีรัมย์ น้ำในอ่างเก็บน้ำห้วยจระเข้มาก อ.เมืองบุรีรัมย์ แหล่งน้ำดิบที่ใช้ผลิตประปาหล่อเลี้ยงตัวเมือง และเขตเศรษฐกิจสำคัญของจังหวัดตื้นเขิน เหลือน้ำกักเก็บในอ่างเพียง 1 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) หรือประมาณ 1.59%ของปริมาณความจุอ่าง 26 ล้าน ลบ.ม. สาเหตุจากฝนทิ้งช่วงและไม่ตกในพื้นที่รับน้ำ ซึ่งชลประทานจังหวัดแก้ปัญหาโดยใช้น้ำดิบสำรองจากอ่างเก็บน้ำห้วยตลาด ที่เหลืออยู่ประมาณ 2 ล้าน ลบ.ม. ผลิตประปาหล่อเลี้ยงตัวเมือง ส่วนมาตรการเพิ่มเติมนั้น ชลประทานเสนอไปยังสำนักงานชลประทานที่ 8 จ.นครราชสีมาพิจารณาผันน้ำจากอ่างลำปลายมาศ หรือลำน้ำที่สามารถผันมาเติมอ่างเก็บน้ำห้วยจระเข้มากได้ ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณา อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ได้สูบผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำลำปลายมาศ จ.นครราชสีมา แล้ว 14 ล้าน ลบ.ม. เพื่อมาเติมอ่างห้วยจระเข้มากแต่ยังไม่เพียงพอ
นายเทิดพงศ์ ไทยอุดม ผอ.โครงการชลประทานบุรีรัมย์กล่าวว่า สาเหตุที่น้ำในอ่างเก็บน้ำห้วยจระเข้มาก และอ่างเก็บน้ำอีกหลายแห่งในจ.บุรีรัมย์มีปริมาณลดต่ำ เนื่องจากฤดูฝนปีที่ผ่านมา ประสบปัญหาฝนทิ้งช่วงนาน ประกอบกับต้นฤดูฝนของปีนี้ฝนยังตกน้อยและไม่ตกในพื้นที่รับน้ำ ทำให้ปริมาณน้ำในอ่างลดลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะอ่างห้วยจระเข้มาก แหล่งน้ำดิบที่ใช้ผลิตประปาหล่อเลี้ยงตัวเมืองบุรีรัมย์ตื้นเขินจนปัจจุบันต้องใช้น้ำจากอ่างเก็บน้ำห้วยตลาด เพื่อสำรองผลิตประปาหล่อเลี้ยงประชาชนในช่วงนี้ และกำลังเร่งหาแนวทางแก้ปัญหาให้มีน้ำเพียงพอ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี