การเขียนของผมจะเขียนไปเรื่อยๆ คิดอะไรได้ก็เขียนออกไป บางครั้งก็มีรายละเอียดขยายแต่กำลังเขียนเรื่องอื่นอยู่ก็เลยต้องติดค้างเรื่องนั้นไว้ ตอนนี้ก็จำไม่ได้ว่าติดค้างเรื่องอะไรอยู่บ้าง แต่นึกได้เรื่องหนึ่งว่าจะเล่าถึงระบบการปกครองของประเทศเมียนมาให้ฟัง พูดไว้นานแล้ว ก็จะถือโอกาสนี้มาเล่าเสียเลยนะครับ ก่อนที่จะไปพูดถึงการเดินทางไปตอนใต้ของ สปป. ลาวเมื่อต้นเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา
กล่าวในเบื้องต้นก่อนที่ผมอยากจะเขียนถึงระบบการปกครองของเมียนมา หาได้เป็นเพราะผมนิยมชมชอบอะไรกับการเมืองในประเทศนั้นนะครับ และก็ไม่เกี่ยวกันด้วย แต่ผมต้องการโยงให้เห็นถึงระบบการแบ่งส่วนราชการที่คล้ายคลึงกับระบบการแบ่งส่วนราชการไทยในระดับภูมิภาคของเขา เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดที่เหมาะสมและน่าจะนำมาประยุกต์ใช้ในยุทธศาสตร์การลดกำลังคนภาครัฐของเราครับ เรื่องของเรื่องก็คือว่า ในประเทศเมียนมาเขาแบ่งการปกครองส่วนภูมิภาคออกเป็นเพียง 7 รัฐ และ 7 ภาค คำว่ารัฐ หรือ state ของเขา คือ ดินแดนชนเผ่าอื่นๆ ที่ไม่ใช่คนพม่า แต่เคยทำสัญญาว่าจะมาอยู่ร่วมกันเป็นประเทศที่เรียกว่า สหภาพ หรือ union ส่วนคำว่าภาค หรือ region เดิมเรียก division คือ ดินแดนที่มีคนพม่าอาศัยอยู่ การแบ่งเช่นนี้ ก็แสดงว่าในเนื้อที่ของประเทศเมียนมาทั้งหมดนั้น มีคนเชื้อสายพม่าแท้ๆ เป็นส่วนใหญ่อาศัยอยู่ประมาณครึ่งหนึ่งของประเทศ ในจำนวน 7 รัฐ ที่ว่า ได้แก่ คะฉิ่น คะยา กะเหรี่ยง ฉาน ชิน มอญ และยะไข่ ส่วนจำนวน 7 ภาคนั้นประกอบด้วย สะกาย พะโค ตะนาวศรี มะเกว มัณฑะเลย์ ย่างกุ้ง และอิระวดี อย่างไรก็ดีปัจจุบันมีการแยกเขตพิเศษเมืองหลวงเนปยีดอ ออกใหม่อีก 1 แห่ง
จากจำนวน 7 รัฐ 7 ภาค รวมเป็น 14 รัฐ/ภาคนี้ มีการกระจายอำนาจออกไปอย่างชัดเจน กล่าวคือ มีรัฐบาลท้องถิ่นปกครองตนเอง หมายถึง มีการเลือกตั้งสภาผู้แทนประชาชนระดับรัฐ/ภาค มีการตั้งมุขมนตรี ที่เรียกว่า Chief minister เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารและรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ ขณะที่บรรดาข้าราชการระดับหัวหน้าส่วนก็จะถูกส่งไปจากส่วนกลาง (สหภาพ) จากกระทรวงหรือกรมที่เกี่ยวข้อง ตัวมุขมนตรี จะมีระดับเทียบเท่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงของรัฐบาลกลาง (อันนี้น่าจะตรงกับระดับของเจ้าแขวงของลาว) ส่วนรัฐมนตรีธรรมดาของรัฐ/ภาค จะเทียบเท่ารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงของรัฐบาลกลาง สำหรับระดับที่เล็กลงไปจากรัฐ/ภาค เรียกเป็นภาษาพม่าว่าอะไรไม่ทราบ แต่ใช้ภาษาอังกฤษว่า District และลงไปอีกระดับเรียก Township ส่วนเล็กสุด คือ Village
ที่น่าสนใจ คือ ถ้าเปรียบเทียบกับประเทศไทยแล้ว คำว่ารัฐ หรือ ภาค ของเมียนมาแม้จะดูใหญ่เพราะมีระดับรัฐมนตรีบริหารงาน และมีสภาประชาชนก็ตาม แต่เมื่อดูหน่วยงานที่ตัวหัวหน้าส่วนถูกส่งไปประจำจากรัฐบาลกลางแล้ว ระดับรัฐหรือภาค ก็ไม่ต่างจาก “จังหวัด” ของไทยเรา (ระบบแขวงของ สปป.ลาวก็เหมือนกับจังหวัดเช่นเดียวกัน) ตัวอย่างเช่น กรมส่งเสริมการเกษตร ของประเทศเมียนมา มีหัวหน้าส่วนระดับรัฐ/ภาค เรียกว่า Director หรือ ผู้อำนวยการ ซึ่งเป็นตำแหน่งระดับเดียวกันกับ เกษตรจังหวัด สังกัดกรมส่งเสริมการเกษตร ของประเทศไทย เขาจึงมีเพียง 14 คน (ของไทยเรา 77 คน) ดูแลติดตามนิเทศงานส่งเสริมการเกษตรในรัฐ/ภาคต่างๆ ซึ่งมีผู้ปฏิบัติงานในระดับ District และ Township ที่มีครบถ้วนกระจายกันทั่วประเทศ
ผมมาคำนวณได้ว่า ถ้าทีมงานระดับรัฐ/ภาค แต่ละแห่ง มีจำนวนเท่าๆ กับ 1 จังหวัดประเทศไทย สมมุติว่า ประมาณ 500 คน ประเทศเมียนมาต้องใช้คนทั้งหมด คือ 500 คูณด้วย 14 เท่ากับ 7,000 คน แต่สำหรับประเทศไทยเราใช้ 500 คูณ 77 ย่อมเท่ากับ 38,500 คน จำนวนมากกว่าประเทศเมียนมา ถึง 31,500 คน หรือเกือบ 6 เท่าตัว ผมเห็นทาง ก.พ.คิดสูตรต่างๆ ที่จะลดกำลังคนภาครัฐลง คิดกันมานานยังลดไม่ได้ ในเมื่อคนระดับจังหวัดไม่ใช่ผู้ปฏิบัติโดยตรง ทำหน้าที่เพียงติดตามนิเทศการปฏิบัติงานในระดับเล็กลงไป ระดับชั้นยศก็สูงมากสามารถรับปริมาณงานที่มากขึ้นได้ อีกทั้งบางจังหวัดมีแค่ 3-4 อำเภอ อาณาเขตเล็กกว่าอำเภอของบางจังหวัดเสียอีก ถ้าใช้แนวคิดของเมียนมาที่ดูเหมือนจะล้าหลังกว่าบ้านเรา (สมัยรัชการที่ 5 ประเทศไทยเราก็มีการแบ่งการปกครองออกเป็นมณฑล มีอยู่ด้วยกัน 22 มณฑล) เพื่อมาใช้ลดกำลังคนภาครัฐ แม้จะดูว่ายากยิ่งและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคงไม่หาญเอาไปทำแน่ แต่กระนั้น ถ้าทำได้ผมว่าน่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีผลสัมฤทธิ์ชัดเจน สมกับเป็นการปฏิรูปประเทศอย่างแท้จริงและเข้าท่านะครับ
ชาญพิทยา ฉิมพาลี
chanpithya@apterr.org
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี