วิกฤตแม่น้ำโขงแล้ง-ผันผวนหนัก เขื่อนจีนกักน้ำจนแห้ง-เขื่อนไซยะบุรีทดลองผลิตไฟฟ้าทำให้น้ำขึ้น-ลงผิดปกติ
18 กรกฎาคม 2562 เครือข่ายประชาชนไทย 8 จังหวัดแม่น้ำโขง รายงานสถานการณ์ของแม่น้ำโขงว่ายังคงผันผวนมาก ทั้งบริเวณที่แม่น้ำโขงไหลผ่านในภาคเหนือและภาคอีสาน นอกจากนี้ยังเกิดภาวะความแห้งแล้งอย่างหนัก
สาเหตุสำคัญที่ทำให้กลายเป็นปัญหาของภูมิภาคโดยรวม คือ การลดการระบายน้ำจากเขื่อนจิงหงในยูนนาน ระหว่างวันที่ 5-17 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ขณะที่เขื่อนไซยะบุรีในลาวซึ่งดำเนินการโดยบริษัท ช. การช่าง ของไทยได้ทดลองการเปิดใช้งาน โดยเมื่อ17 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ได้มีประกาศจากทางการลาว เรื่องการทดลองเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าหัวที่ 5 ของเขื่อนไซยะบุรี เป็นเวลา 72 ชั่วโมง เริ่มในเวลาเที่ยงวันของเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม ที่ผ่านมา
ก่อนหน้านี้ เครือข่ายประชาชนไทย 8 จังหวัดลุ่มน้ำโขง โดยทนายความ มูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน ได้ส่งจดหมายสอบถามการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) ในฐานะหน่วยงานรัฐไทยที่ลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากเขื่อนไซยะบุรี เรื่องมาตรการบรรเทาผลกระทบข้ามพรมแดน จากการระบายน้ำและการกักเก็บน้ำเขื่อนไซยะบุรี ซึ่ง กฟผ. ได้ตอบจดหมายมีเนื้อหา ระบุว่า ข้อมูลการกักเก็บน้ำและการปล่อยน้ำของโครงการฯ ไม่มีระบุในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า และมิได้เป็นข้อมูลที่อยู่ในความครอบครองหรือควบคุมดูแลของ กฟผ. ดังนั้น กฟผ.จึงไม่มีข้อมูลดังกล่าว
ส่วนข้อมูลการบรรเทาผลกระทบข้ามพรมแดนนั้น เนื่องจากเงื่อนไขในสัญญา ระบุว่า การเปิดเผยข้อมูลจะต้องได้รับความยินยอมจากคู่สัญญา ซึ่งเมื่อได้รับความยินยอมแล้ว กฟผ.จะดำเนินการเปิดเผยให้ทราบ ต่อมา กฟผ.ได้มีหนังสือไปยังโครงการเพื่อขอให้เปิดเผยข้อมูลดังกล่าว และโครงการมีหนังสือแสดงความยินยอม กฟผ.จึงนำส่งข้อมูลและรูปประกอบ
ในข้อมูลประกอบดังกล่าว เป็นจดหมายจากบริษัททีมคอลซัลติ้ง เอ็นจิเนียริ่ง ถึงผู้จัดการบริษัทไซยะบรีพาวเวอร์ ลงวันที่ 28 มิถุนายน 2554 โดยเป็นจดหมายภาษาอังกฤษ มีเนื้อหาสรุปได้ว่า สำหรับผลกระทบข้ามพรมแดนจากโครงการเขื่อนไซยะบุรี บริษัทมีความมั่นใจว่าผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น จะอยู่ในบริเวณรอบๆเขื่อนเท่านั้น และเป็นเพียงเล็กน้อย ดังนั้นจึงจะไม่เกิดผลกระทบข้ามพรมแดน
ขณะที่เครือข่ายประชาชนไทย 8 จังหวัดแม่น้ำโขง มีความเห็นว่า กฟผ. มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าการผลิตไฟฟ้าจากเขื่อนไซยะบุรี เป็นไปเพื่อขายไฟฟ้าให้แก่ กฟผ. ซึ่งแต่เดิมจะเริ่มวันซื้อขายไฟฟ้าอย่างเป็นทางตามสัญญา 29 ปี ในเดือนตุลาคม 2562 ทั้งนี้การผลิตไฟฟ้าในระยะทดลองนี้ ดำเนินไปโดยไม่มีการศึกษาผลกระทบข้ามพรมแดน และไม่มีมาตรการเยียวยาผลกระทบข้ามพรมแดนต่อประชาชนทั้งสองฝั่งแม่น้ำโขง
ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ระดับน้ำในแม่น้ำโขงลดลงเป็นอย่างมาก ตั้งแต่ จ.เชียงราย ลงมาจนถึง จ.เลย และจังหวัดภาคอีสาน ตามประกาศทางเว็บไซต์ของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ว่าเขื่อนจิงหงลดปริมาณการระบายน้ำลงครึ่งหนึ่ง เนื่องจากการซ่อมแซมระบบสายส่งระหว่างวันที่ 5-17 กรกฎาคม 2562 และต่อมามีประกาศอย่างเป็นทางการของ สปป.ลาว มีหนังสือแจ้งเตือนว่า ในวันที่ 17 กรกฎาคม เวลา 12.00 น. เป็นต้นไป ทางโครงการเขื่อนไฟฟ้าน้ำไซยะบุรี จะทดสอบเครื่องจักรปั่นไฟฟ้าหน่วยที่ 5 ใช้เวลาต่อเนื่อง 72 ชั่วโมง หรือ 3 วัน ซึ่งการทดสอบในครั้งนี้จะต้องปล่อยน้ำจากทางเหนือเขื่อนมากกว่าปกติ ตามระดับการไหลของแม่น้ำโขง โดยจะส่งผลให้ระดับน้ำเหนือเขื่อนของโครงการลดระดับจาก 273.3 เมตร เป็น 271 เมตร น้ำจะลดลงประมาณ 0.75 เมตร ต่อวัน และระดับน้ำท้ายเขื่อน จะเพิ่มขึ้นระดับสูงสุดประมาณ 237.5 เมตร ซึ่งอาจจะทำให้ระดับน้ำไม่ปกติเหนือเขื่อน ท้ายเขื่อน และเมื่อสิ้นสุดการทดสอบ ทางโครงการจะปล่อยน้ำให้ไหลเป็นปกติ
นอกจากนี้ คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) ได้จัดทำการศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาและการบริหารจัดการแม่น้ำโขงที่ยั่งยืน รวมทั้งผลกระทบจากโครงการไฟฟ้าพลังน้ำในแม่น้ำโขงสายประธาน หรือที่รู้จักกันในชื่อการศึกษาของคณะมนตรีแม่น้ำโขง ซึ่งผลการศึกษาชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า แผนการพัฒนาโครงการเขื่อนไฟฟ้า 11 โครงการบนแม่น้ำโขงตอนล่าง และเขื่อนอีก 120 แห่งในแม่น้ำสาขาภายในปี 2583 เป็นภัยคุกคามอย่างร้ายแรงต่อนิเวศวิทยาและเศรษฐกิจของภูมิภาค รวมทั้งกระทบต่อการเข้าถึงอาหารของประชาชนในท้องถิ่น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี