เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2562 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณี นายสิงห์แก้ว วงค์ใหญ่ อายุ 54 ปี ประธานสมาคมส่งออกสัตว์เชียงแสน อ.เชียงแสน ถูกคนร้ายลักพาตัวอุ้มหายไปในเมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ตรงกันข้าม อ.เชียงแสน จ.เชียงราย เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ล่าสุด หลังจากทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย โดยฝ่ายปกครอง อ.เชียงแสน และ สภ.เชียงแสน ได้สอบปากคำและพาญาติๆ เดินทางข้ามไปขอความร่วมมือในการติดตามช่วยเหลือถึงเมืองต้นผึ้งมาแล้วนั้น ทางญาติของนายสิงห์แก้ว นำโดย ภรรยาและลูกๆ มารอฟังความคืบหน้าที่ฝั่งไทยแล้ว
โดย ท่านไชสะเถียน เหรียนสัก รองเจ้าเมืองต้นผึ้ง กล่าวว่า หลังจากได้รับการประสานจากทาง อ.เชียงแสน ก็ได้ให้เจ้าหน้าที่ออกติดตามหาตัวนายสิงห์แก้ว อย่างต่อเนื่อง และจากข้อมูลของเจ้าหน้าที่ทราบว่า นายสิงห์แก้วได้เดินทางมาถึงฝั่ง สปป.ลาว ที่ท่าเรือคิงส์โรมัน เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมคำ ตรงกันข้ามบ้านสบรวก หมู่ 1 ต.เวียง อ.เชียงแสน จากนั้นได้มีชายชาวลาว 1 คน ทราบชื่อว่า นายสะหวาด ได้เป็นคนขับรถ และมีนายจุ๋ม หุ้นส่วนชาวจีนที่ลงทุนด้านโรงงานฆ่าสัตว์ในฝั่ง สปป.ลาว นั่งโดยสารไปด้วย ได้พานายสิงห์แก้วออกเดินทางจะไปทางเมืองห้วยทราย แต่ปรากฎว่าขณะอยู่ในเขตเมืองต้นผึ้งก็ได้ถูกชายฉกรรจ์ออกมาดักหน้ารถแล้วใช้ปืนจี้บังคับให้นายสิงห์แก้วลงจากรถแล้วลักพาตัวไปในที่สุด ซึ่งปัจจุบันเจ้าหน้าที่ สปป.ลาว ก็กำลังอยู่ระหว่างติดตามหาแหล่งกักขังนายสิงห์แก้ว เบื้องต้นพอจะทราบแหล่งแล้ว จึงอยู่ระหว่างวางแผนเพื่อหาทางช่วยเหลืออยู่
ขณะที่การรวบรวมข้อมูลจากญาติและฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องแล้วทางเจ้าหน้าที่ไทย คาดการณ์ว่าการลักพาตัวเรียกค่าไถดังกล่าวเกี่ยวข้องกับ 3 ธุรกิจ ได้แก่ การซื้อขายน้ำตาลทราย ที่ต้องมีการจัดหาไปให้กับผู้ซื้อ แต่ที่ผ่านมาเกิดปัญหาทางธุรกิจวงเงินกว่า 13 ล้านบาท ธุรกิจการซื้อขายต้นไม้ ไม้ดอกไม้ประดับมูลค่าประมาณ 300,000 บาท และธุรกิจสร้างโรงฆ่าสัตว์ใน สปป.ลาว ดังกล่าว ที่นายสิงห์แก้วได้เข้าไปร่วมก่อสร้างเมื่อเดือนมีนาคม 2562 ที่ผ่านมา และเป็นต้นเหตุให้ถูกนายจุ๋ม และเหว่ย ซึ่งเป็นชาวจีนติดต่อให้นายสิงห์แก้ว เดินทางข้ามไป จนถูกอุ้มหายตัวไปดังกล่าว
ด้าน ภรรยาและลูกๆ เปิดเผยว่า จริงๆ ก็ไม่ทราบสาเหตุที่นายสิงห์แก้วถูกลักพาตัวและเรียกค่าไถ่ เนื่องจากกรณีการทำธุรกิจซื้อขายน้ำตาลทรายนั้นได้เลิกราไปแล้วกว่า 10 ปี ส่วนเรื่องเงินๆ ทองๆ ที่คงค้างกันอยู่ก็ได้ชำระไปจนหมดแล้ว จึงคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาในเรื่องนี้ ต่อมาจึงได้หันมาทำธุรกิจด้านการส่งออกโค กระบือ และสุกร โดยนายสิงห์คำ จะเดินทางข้ามไปมาระหว่างไทย - สปป.ลาว บ่อยครั้ง แต่ก็ช่วงหลังก็พบว่าสามารถส่งออกไปได้น้อย เพราะส่งเข้าไปยังตลาดประเทศจีนได้ยาก ทำให้บางเดือนแทบไม่มีคำสั่งซื้อหรือออเดอร์เลย จึงได้หันมาทำธุรกิจใหม่คือโรงฆ่าสัตว์ดังกล่าว โดยถือเป็นธุรกิจใหม่ที่พึ่งทำ และทำให้ต้องเดินทางไปยังฝั่งลาวบ่อยครั้งขึ้น
ภรรยาและลูกๆ กล่าวด้วยว่า ครอบครัวของเราไม่มีเงินมากถึง 5 ล้านบาท ตามที่ถูกเรียกค่าไถ่ จึงขอให้ทาง สปป.ลาว ช่วยติดตามช่วยเหลือให้ได้ด้วย เพราะห่วงใยเรื่องอันตรายอย่างมาก และรู้สึกแปลกใจกันมากที่เกิดขึ้นเช่นนี้ขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมานายสิงห์แก้วก็ไม่เคยมีเรื่องขัดแย้งกับผู้ใด ส่วนเรื่องธุรกิจก็ไม่เคยมีความขัดแย้งหรือปัญหาใหญ่ๆ โดยหากจะมีบ้างก็ไม่ถึงขั้นเป็นเงินมูลค่าสูงถึง 5 ล้านบาท และยืนยันว่าปัญหาเรื่องการค้าน้ำตาลมูลค่าสูงนั้นไม่น่าจะเป็นไปได้ และเรื่องก็จบไปนานแล้วด้วย
"ที่แชทข้อมูลมาเรียกเอาเงินก็ไม่ได้บอกเหตุผล และเขาก็ติดต่อมาเมื่อช่วงเย็นวันที่ 28 กรกฎาคม เท่านั้น จากนั้นก็ไม่ได้ติดต่อมาอีกเลย ทางญาติก็ยังไม่ได้โอนเงินแต่อย่างใด เพราะเราไม่มีเงินมากขนาดนั้น ซึ่งก็อยากให้ทางการลาวช่วย และขอให้คนที่กักขังตัวเอาไว้ได้ปล่อยตัวออกมาด้วย เพื่อจะได้หาทางออกร่วมกันต่อไป" ภรรยาและลูกๆ กล่าว
ทางด้าน นายสุริยา อุดเจริญ กำนัน ต.นางแล กล่าวว่า นายสิงห์แก้วพึ่งย้ายมาจากภูมิลำเนาเดิมที่ อ.พาน จ.เชียงราย ไปสร้างบ้านอยู่ที่หมู่บ้านป่าซางวิวัฒน์ ต.นางแล เมื่อประมาณ 10 ปีก่อน เป็นคนดี อ่อนน้อมถ่อมตนและพูดจาไพเพราะ จึงเป็นที่รักใคร่ต่อทุกคน รวมทั้งไม่เคยมีเรื่องทะเลาะขัดแจ้งกับผู้ใดในพื้นที่มาก่อน ในพื้นที่เราก็ทราบกันเพียงว่าเขาไปทำธุรกิจที่ชายแดนและไม่เคยได้ยินว่าขัดแย้งกับใครเช่นกัน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี