แม้ประเทศไทยจะสบายใจขึ้นมาได้บ้างจากการที่ชาติตะวันตกในฐานะคู่ค้าสำคัญประกาศว่าภาพลักษณ์ของการใช้แรงงานดีขึ้น เช่น สหภาพยุโรป (EU) ปลดใบเหลืองการทำประมงผิดกฎหมาย (IUU) หรือสหรัฐอเมริกาจัดอันดับให้ไทยอยู่ใน Tier2 ซึ่งเป็นอันดับที่ดีขึ้นในประเด็นการแก้ไขปัญหาแรงงานทาสและการค้ามนุษย์โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมประมง แต่ก็ยังมีสิ่งที่ต้องทำต่อไปเพื่อ “ส่งเสริมสิทธิแรงงาน” โดยเมื่อเร็วๆ นี้ มีการจัดเสวนา “หลังคลื่น IUU: เดินหน้าหรือหยุดนิ่ง ทิศทางและความท้าทายล่าสุดประมงไทย” ขึ้น ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
สุธาสินี แก้วเหล็กไหล ผู้ประสานงานองค์กรสิทธิแรงงานข้ามชาติ (MWRN) กล่าวว่า แม้แรงงานข้ามชาติไม่สามารถรวมกลุ่มได้เพราะรัฐบาลไทยยังไม่ให้การรับรองอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ฉบับที่ 87 และ 98 แต่กฎหมายไทยคือ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 96 ระบุว่า “สถานประกอบการที่มีลูกจ้าง (ซึ่งไม่ได้จำกัดเรื่องเชื้อชาติไว้) ตั้งแต่ 50 คนขึ้นไป ให้นายจ้างจัดให้มีคณะกรรมการสวัสดิการ ซึ่งต้องมีตัวแทนลูกจ้างอย่างน้อย 5 คน โดยกรรมการมาจากการเลือกตั้ง” ภาคประชาสังคมจึงพยายามทำงานเรื่องนี้กับภาคเอกชน
ดังนั้นสิ่งที่อยากเห็นคือ “กฎหมายใช้งานได้จริง” เช่น กรรมการลูกจ้างควรมาจากทุกชาติในโรงงาน จำนวนคณะกรรมการควรสอดคล้องกับจำนวนพนักงานในโรงงาน รวมถึงมีความสมดุลระหว่างเพศหญิง-ชายด้วย มีการให้ความรู้ด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้อง (ซึ่งแม้แต่แรงงานไทยเองบางทีก็อาจยังไม่ทราบ) และการประชุมร่วมต้องมีผู้บริหารที่มีอำนาจตัดสินใจเข้าร่วมประชุมด้วย
“คำถามที่ 1 ทุกบริษัทได้จัดให้มีคณะกรรมการสวัสดิการหรือไม่ รวมถึงบริษัทที่อยู่ในห่วงโซ่ของกิจการ (Supply Chain) และได้ทำตามข้อเสนอนี้หรือไม่ คำถามที่ 2 กลไกการร้องเรียนของแต่ละบริษัท เมื่อมีแรงงานร้องเรียนบริษัทมีการจัดการอย่างไรให้คนงานเห็นว่าสิ่งที่เขาเสนอนั้นมันแก้จริง ประเด็นที่ 3 ภาครัฐได้ตรวจสอบหรือไม่ว่าแต่ละบริษัทได้ทำตามกฎหมายตราไว้หรือเปล่า หรือรอแค่รายงานทุก 3 เดือนแล้วก็อยู่ในกระดาษ คำถามสุดท้ายคือเมื่อไหร่รัฐบาลจะรับรองอนุสัญญา ILO 87 และ 98” สุธาสินี กล่าว
ขณะที่ตัวแทนภาคเอกชน เบ็ญจพร ชวลิตานนท์ บริษัท ซีเฟรชอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทมีพนักงาน 2,600 คน จำนวนมากเป็นชาวเมียนมา ช่องทางร้องเรียนของพนักงานมี 8 ช่อง แต่ที่ได้รับความนิยมคือจากคณะกรรมการสวัสดิการ (Welfare Committee) ตามกฎหมายแรงงาน เพราะเข้าถึงง่าย คณะกรรมการก็เป็นเพื่อนร่วมงานด้วยกัน มีการประชุมกรรมการเดือนละครั้ง โดยตัวแทนฝ่ายนายจ้างก็จะมีผู้บริหารฝ่ายผลิตและฝ่ายบุคคลเข้าร่วมประชุมด้วย ทำให้เมื่อประชุมแล้วสามารถให้คำตอบกับพนักงานได้
ซึ่งในระยะแรกๆ คณะกรรมการสวัสดิการก็มีเพียง 5 คน ต่อมาขยับเป็น 10 คน 15 คน การขับเคลื่อนงานด้านนี้เป็นไปโดยทีมงานฝ่ายบุคคล มีมาตรการจูงใจให้พนักงานเข้ามาเป็นกรรมการ “ข้อสำคัญคือต้องทำให้คณะกรรมการฯ มีตัวตนและมีความภูมิใจ” เช่น มีรายชื่อ รูปถ่ายและช่องทางติดต่อของกรรมการติดประกาศตามพื้นที่ต่างๆ ของบริษัท และในอนาคตอาจมีสัญลักษณ์บางอย่างติดบนเครื่องแบบพนักงาน รวมถึงประสานกับกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เพื่อจัดวิทยากรมาให้ความรู้เรื่องกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกรรมการสวัสดิการในบริษัทด้วย
“หลายๆ เรื่องของพนักงานก็จะเกิดขึ้นจากความเข้าใจผิดระหว่างหัวหน้ากับลูกน้อง อย่างที่บริษัทมีพม่าเยอะ หัวหน้าคุยกับลูกน้องต่างด้าวลำพังไม่ได้ ต้องอาศัยล่าม เราก็เจอปัญหาไม่รู้ล่ามแปลอย่างไรบ้างมันก็เลยเกิดความเข้าใจผิด ก็ได้จากช่องทาง Welfare Committee ผู้บริหารก็เลยหยิบยกขึ้นมาแก้ไข วันนี้เราจับหัวหน้าคนงานคนไทยในสายการผลิตไปเรียนรู้ภาษาพม่า มันก็คงดีขึ้นเพราะหัวหน้ากับลูกน้องพูดภาษาเดียวกันแล้ว โดยเฉพาะศัพท์ง่ายๆ ในสายการผลิต ไม่ต้องผ่านล่าม กำลังจะขยายไปทีมฝ่ายบุคคลด้วย” เบ็ญจพร ระบุ
ตัวแทนภาคเอกชนท่านต่อมา ปราชญ์ เกิดไพโรจน์ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เล่าว่า สิ่งที่บริษัททำคือจะทำอย่างไรให้คณะกรรมการสวัสดิการมีที่มาอย่างเป็นธรรมและให้คนงานสนใจเข้าร่วม อาทิ “ก่อนปี 2559 แรงงานข้ามชาติอาจไม่สนใจ ก็พยายามส่งเสริม ด้วยการอธิบายให้เห็นว่าคณะกรรมการสวัสดิการมีผลดีต่อตัวแรงงานเองและเพื่อนร่วมงานอย่างไร” นอกจากนี้ด้วยความที่บริษัทมีโรงงานหลายแห่ง จำนวนคณะกรรมการสวัสดิการก็จะแตกต่างกันไปตามจำนวนพนักงานของแต่ละโรงงาน รวมถึงพิจารณาจากสัดส่วนสัญชาติด้วย
ซึ่งเมื่อคณะกรรมการได้รับการเลือกตั้งมา บริษัทก็มีการจัดอบรมว่ามีหน้าที่อย่างไร สิทธิเป็นอย่างไร ให้สามารถไปพูดคุยกับเพื่อนแรงงานเพื่อจะได้เอาเรื่องจากตรงนั้นเข้ามาพูดกับตัวแทนนายจ้างโดยตรง โดยทำมาตั้งแต่ปี 2559 กับ MWRN รวมถึงมีการทำนโยบายเป็นลายลักษณ์อักษร ว่าจากปี 2559 ที่เริ่มทำมา จะทำให้ขยายผลไปสู่โรงงานอื่นๆ ได้อย่างไร
“สิ่งที่ได้ผลเห็นชัดเจน คณะกรรมการสวัสดิการมีตัวแทนแรงงานต่างชาติมากขึ้น ประเด็นก็จะเป็นประเด็นใหม่ๆ ในฐานะตัวแทนนายจ้างเราอาจไม่เห็นมาก่อน มันเป็นมุมที่คนงานเห็นถึงจะเข้าใจ ฉะนั้นเขานำเรื่องนี้เข้ามา เราก็คงจะพัฒนาคณะกรรมการสวัสดิการไปเรื่อยๆ แล้วก็ช่องทางอื่นๆ แต่ตอนนี้โจทย์ใหญ่ที่ไทยยูเนี่ยนมอง ถ้าเป้าหมายสุดท้ายคือเราต้องการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างเราจะต้องทำอย่างไร การรับประกันสิทธิเราจะทำอย่างไร” ตัวแทนจาก บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าว
ตัวแทนภาคเอกชนอีกท่านหนึ่ง พักตร์พริ้ง บุญน้อม บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) กล่าวว่า สัดส่วนคณะกรรมการสวัสดิการใช้หลักเกณฑ์เดียวกับกฎหมายว่าด้วยคณะกรรมการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ที่คณะกรรมการจะเพิ่มตามสัดส่วนของโรงงานแต่ละแห่ง นอกจากนี้ยังมีการตั้ง “คณะอนุกรรมการ” ขึ้นมาเพื่อปิดช่องว่างกรณีคณะกรรมการชุดหลักที่พนักงานเลือกตั้งมายังขาดกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งไปในมิติด้านเพศ ศาสนา รวมถึงความพิการด้วย
“คณะอนุกรรมการมาจากให้แต่ละที่ส่งรายชื่อมาแล้วให้คณะกรรมการโหวต คือ 1 ท่านในคณะกรรมการโหวต 6 เสียง ซึ่งจะต้องครอบคลุมกลุ่มย่อย แล้วมานับคะแนนหา 6 อันดับ ซึ่งจะอยู่ในคณะอนุกรรมการ ซึ่งจะมีการประชุมร่วมกับคณะกรรมการสวัสดิการ ก่อนที่คณะกรรมการจะประชุมกับนายจ้าง เพราะทางคณะอนุกรรมการก็จะรับทราบข้อกังวลพิเศษ (Specific
Concern) จากแต่ละกลุ่ม เพื่อนำมาบรรจุในวาระ ซึ่งคณะกรรมการสวัสดิการก็จะเจอกับผู้บริหารโรงงานและฝ่ายบุคคลด้วย” พักตร์พริ้ง กล่าว
อีกด้านหนึ่ง สมบูรณ์ ตรัยศิลานันท์ รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวว่า สาเหตุที่เกิดระบบคณะกรรมการสวัสดิการในกฎหมาย เพราะในอดีตมีปัญหาลูกจ้างผละงานทั้งที่ยังไม่ได้ยื่นข้อเรียกร้องเกิดขึ้นหลายครั้ง ซึ่งระบบนี้จะทำให้นายจ้างและลูกจ้างได้พูดคุยกันเพื่อลดปัญหาดังกล่าว ทั้งนี้ทางกรมก็พยายามส่งเสริมระบบคณะกรรมการสวัสดิการ มีการจัดประกวดสถานประกอบการดีเด่น
โดยข้อกำหนดหนึ่งที่ทางกรมอยากให้เกิดขึ้นคือ “ให้ลูกจ้างมีส่วนร่วมพิจารณากรณีนายจ้างจะลงโทษลูกจ้าง” เช่น เมื่อจะไล่พนักงานออกต้องมีคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง โดยนี้ตัวแทนคณะกรรมการสวัสดิการร่วมด้วย เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อทุกฝ่ายและลดการนำเรื่องไปฟ้องคดีซึ่งต้องมีค่าใช้จ่าย อาทิ ค่าจ้างทนายความ ทั้งนี้ทางกรมก็มีการออกไปตรวจสอบเป็นระยะๆ เมื่อได้รับเรื่องร้องเรียนกรณีไม่มีคณะกรรมการสวัสดิการ หรือมีแต่กระบวนการสรรหาไม่โปร่งใส หรือกรรมการครบวาระแต่ไม่มีการเลือกตั้งใหม่ เป็นต้น
รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวต่อไปว่า“ที่สำคัญยุคนี้นอกจากไปตรวจแล้วยังต้องได้ความคืบหน้า” ในอดีตพนักงานตรวจแรงงานเมื่อไปตรวจแล้วพบสถานประกอบการที่กระทำผิดก็ทำเพียงเขียนรายงานเก็บลงแฟ้ม แต่ปัจจุบันนอกจากจะทำหนังสือเตือนแล้วยังต้องบันทึกเรื่องลงในระบบคอมพิวเตอร์ของกรม เพื่อเป็นฐานข้อมูลด้วย ซึ่งก็จะมีการติดตามผลเป็นระยะๆ ว่ามีการแก้ไขหรือไม่ อย่างไร
“ปีหนึ่งเราตรวจได้ประมาณ 35,000 แห่ง เพราะเรามีพนักงานตรวจแรงงาน 600 คน จะพูดว่าไม่พอILO เขาก็ด่าเรามาเรื่อยว่าไม่พอก็ไม่ตั้งสักที ที่จริงประเทศกำลังพัฒนาอย่างเราต้องมีพนักงาน 2 หมื่นคนต่อพนักงานตรวจแรงงาน 1 คน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานดูคนงานนอกระบบ 22 ล้านคน ในระบบ 12 ล้านคน เอา 2 หมื่นไปหารได้ประมาณ 1,600 คน ตอนนี้มี 600 คน คุณยังขาดไปอีก 1,000 คน อะไรอย่างนี้” สมบูรณ์ ระบุ
รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ยังกล่าวอีกว่า แม้ที่ผ่านมาทางกรมจะพยายามแก้ไขปัญหาข้างต้นด้วยการแต่งตั้งบุคคลอื่นเป็นพนักงานตรวจแรงงาน แต่สิ่งที่พบคือหน่วยงานอื่นที่แต่งตั้งนั้นก็ไม่ได้มาช่วยในส่วนนี้เพราะลำพังภารกิจหลักของหน่วยงานนั้นๆ ก็มีมากแล้ว “หน่วยงานรัฐทุกแห่งงานเต็มมือทั้งหมดเพราะไม่ให้เพิ่มจำนวนกำลังพลข้าราชการ” ใน 1 ปี จึงไม่สามารถตรวจสถานประกอบการได้มากกว่าที่เป็นอยู่
“การทำงานของภาครัฐร่วมกับภาคประชาชน” ในการรับข้อมูลเบาะแสการกระทำผิดต่างๆ เพื่อไปดำเนินการตรวจสอบต่อไปจึงเป็นสิ่งสำคัญ!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี