13 สิงหาคม 2562 จากกรณ๊ที่มีผู้เสียหายหลายรายบนเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี โพสต์เตือนภัยในเฟซบุ๊กในเพจ"รวมพลฅนหมุย" ว่ามีชายชาวต่างชาติตะเวนหลอกซื้อสินค้า ซื้ออาหาร หรือแกล้งบอกบัตรเอทีเอ็มหาย และขอยืมเงินโดยจะโอนคืนให้ จนมีผู้เสียหายบางคนหลงเชื่อตกเป็นเหยื่อให้ทั้งสินค้าและให้เงินสดไปจนมารู้ที่หลังว่าถูกหลอก
โดยผู้เสียหายรายหนึ่งได้โพสต์ข้อความเตือนว่า ถูกชายชาวต่างชาติมาสั่งอาหารที่ร้านกลับบ้านเป็นจำนวนเงิน 875 บาท ตอนจะจ่ายเงินชายชาวต่างชาติบอกว่าลืมเอากระเป๋ามา ขอโอนเข้าบ้ญชีทางร้านได้ให้เลขที่บัญชีไป จากนั้นชายชาวต่างชาติได้ให้ดูรายละเลียดการโอนจากโทรศัพท์ของชายชาวต่างเอง ที่โอนเข้าบัญชีทางร้านเป็นเงิน 1,875 บาท โดยชายชาวต่างชาติบอกว่าโอนเงินให้เกิน พร้อมต้องการเงินส่วนต่างคืนทางผู้เสียหายจึงบอกขอตรวจสอบเงินที่โอนเข้าบัญชีกับ ธนาคารก่อนว่าเงินเข้ามาในบัญชีจำนวนเท่าไรถ้าเกินก็จะคืนเงินให้ แต่ต่างชาติคนนี้บอกว่าเขาโอนเงินจาก บัญชีในต่างประเทศกว่าเงินจะเข้าประมาณ 20-30 นาที ทางเราก็เริ่มไม่ไว้ใจแล้วก็เลยบอกให้ชาวต่างชาติรอก่อนจนกว่าเงินจะเข้า ชายชาวต่างชาติก็เริ่มบ่ายเบี่ยงว่ารอไม่ได้ต้องรีบไป เจ้าของร้านก็ไม่ยอมให้อาหารกับเงิน ถึงแม้ว่าชาวต่างชาติรายนี้จะยืนยันว่าโอนเกินมาจำนวน 1,000 บาท จนที่สุดชาวต่างชาติบอกจะกลับไปเอากระเป๋าเงินที่แฟนมาให้ แต่จะเอาของที่สั่งไปด้วย ทางเราก็ไม่ให้และบอกให้กลับไปเอาเงินมาให้เราก่อน ชายชาวต่างชาติตอบตกลงก่อนจะไปแล้วไม่กลับมอีกเลย
นอกจากนี้ชาวต่างชาติรายนี้ยังได้หลอกผู้เสียหายรายอื่นอีก โดยใช้รูปแบบการหลอกเหมือนเดิมคือ มาซื้อสินค้าจำนวน 200 บาท แต่บอกว่าบัตรเอทีเอ็มหายขอโอนเงินเข้าบัญชีให้ 1,200 บาท และให้ทางร้านค้าคืนเงินสดให้เขา1,000 บาท แต่ได้ปฏิเสธไปว่าไม่มีบัญชีและไม่มีเงินชาวต่างชาติรายนี้เลยออกไป นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งรายที่โดนหลอกเหมือนกันค่ะมาซื้อของ 978 บาท นอกจากนี้ยังมีผู้ที่ถูกหลอกอีกจำนวนหลายราย
ล่าสุด พ.ต.อ.ศุภฤกษ์ พันธ์โกศล ผกก.ตม.จ.สุราษฎร์ธานี สั่งการให้ ร.ต.อ.เทอดศักดิ์ ธวัชร์วรกุล ร.ต.อ.อรุณ มูสิกิ้ม รอง สว.ตม. ด.ต.ธรรมนูญ แพน้อย ด.ต.พิศฐ์ศักดิ์ จันทโกมุท และ ด.ต.ปัญกิตติ์ ราชู ผบ.หมู่ ตม. ลงพื้นที่ตรวจสอบชายชาวต่างชาติต้องสงสัยภายในซอยคริสต์จักรออร์โธด็อกซ์ ม.3 ต.มะเร็ต อ.เกาะสมุย พบบ้านเช่าหลังหนึ่งมีรถจักรยานยนต์ต้องสงสัยยี่ห้อฮอนด้า รุ่นซีบีอาร์150 สีดำ จึงได้เข้าตรวจสอบ และพบกับนายมีคาน นาซารอฟ (MR.MEKAN NAZAROV )อายุ 30 ปี สัญชาติเติร์กเมนิสถาน มาแสดงตัวพร้อมบอกว่าเป็นผู้ครอบครองรถคันดังกล่าว
เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้ขอตรวจสอบหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทาง ทราบว่านายมีคาน นาซารอฟ พร้อมภรรยา และบุตรชาย ได้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรทางด่านตม.สะเดา จ.สงขลา เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. 2561 ด้วยวีซ่านักท่องเที่ยว (TR-60)อนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรถึงวันที่ 11 ส.ค. 2561 แต่เมื่อครบวันอนุญาตแล้ว บุคคลต่างด้าวทั้งหมดไม่ได้เดินทางออกนอกราชอาณาจักรแต่อย่างใดจนกระทั่งถึงวันที่ 12 ส.ค. 2562 ทำให้ทั้งหมดรวมอยู่เกินวันที่ได้รับอนุญาตจำนวน 366 วัน
นายมีคาน นาซารอฟ ให้การว่า เดินทางมาท่องเที่ยวที่ประเทศไทยพร้อมกับภรรยาชาติเดียวกัน และบุตรชายวัย 6 ขวบ เคยอาศัยอยู่ที่กรุงเทพฯ และที่เกาะพะงัน ก่อนจะมาอาศัยอยู่ที่บ้านเช่าหลังนี้บนเกาะสมุย และมาฝึกมวยไทยอยู่ที่ค่ายมวยแห่งหนึ่งบนเกาะสมุย ซึ่งก็ไม่ได้ทำงานอะไร แต่ละเดือนแม่ที่อาศัยอยู่ที่มาเลเซียจะส่งเงินมาให้ไว้ใช้จ่าย ส่วนรถจักรยานยนต์สีดำตนเองเช่ามาจากกรุงเทพฯ ส่วนเรื่องที่ไปหลอกเงินคนอื่นนั้นไม่เป็นความจริง
เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ได้จับกุมตามความผิดตามพ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 ในข้อกล่าวหา เป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด ส่งพนักงานสอบสวน สภ.บ่อผุด ดำเนินคดีตามกฎหมาย ส่วนพฤติกรรมที่ผู้ต้องหาตะเวนหลอกซื้อสินค้า ซื้ออาหาร หรือแกล้งบอกบัตรเอทีเอ็มหาย และขอยืมเงินโดยจะโอนคืนให้ จนมีผู้เสียหายหลงเชื่อตกเป็นเหยื่อนั้น ล่าสุดยังไม่มีผู้เสียหายรายใดเข้ามาแจ้งความร้องทุกข์ แต่ถ้ามีผู้เสียหายรายใดต้องการจะมาแจ้งความดำเนินคดีก็ให้นำหลักฐานมาแจ้งกับพนักงานสอบสวนได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี