การประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้ สมัยพิเศษ หรือ SSOM AMAF Meeting ที่เพิ่งจบลงไปสดๆ ร้อนๆ เมื่อวันที่ 5-8 สิงหาคม 2562 ที่ผ่านมานี้เอง เป็นการประชุมครั้งที่ 40 โดยมีประเทศเวียดนามเป็นเจ้าภาพ โดยไปจัดกันที่เมืองเว้ ตอนกลางของประเทศ ตั้งอยู่เหนือเมืองดานัง ห่างกันประมาณ 100 กิโลเมตร ครับ
การจัดประชุมของเวียดนามครั้งนี้ ที่เลือกเอาเมืองเว้ ก็น่าเป็นเพราะว่า เมืองนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ในอดีตเคยเป็นเมืองหลวงของเวียดนามกว่าร้อยปี ตั้งแต่ ค.ศ.1805 และเป็นที่ตั้งพระราชวังของจักรพรรดิผู้ปกครองประเทศเวียดนาม ราชวงศ์เหงียน ซึ่งเป็นราชวงศ์สุดท้ายก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครอง มาเป็นแบบสาธารณรัฐในภายหลัง นอกจากนี้ เนื่องจากเป็นพระราชวังที่สวยงามและมีประวัตฺศาสตร์ที่สำคัญ ยูเนสโกยังได้ประกาศให้พระราชวังแห่งนี้ เป็นมรดกโลกด้วย เมืองเว้ตั้งอยู่บนฝั่งของแม่น้ำหอม (Perfume river) เขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า Hue ยังสงสัยว่าทำไมอ่านว่า เว้ ผมลองเอาชื่อเมืองภาษาอังกฤษให้เพื่อนคนอีสานลองอ่าน ปรากฏว่าเขาอ่านว่า “ห้วย” ฟังแล้ว คนที่ไม่รู้จักมาก่อน คงเดินทางไปหาเมืองนี้ไม่ถูกแน่นอน แต่ถึงจะเป็นถึงอดีตเมืองหลวงของเวียดนาม แต่ความเจริญต่างๆ กลับไปอยู่ที่เมืองดานังที่ตั้งอยู่ไม่ไกลนัก อาจเป็นพราะเมืองดานังเป็นเมืองขนส่งสินค้าทางทะเลที่สำคัญมากสำหรับเวียดนามตอนกลาง สนามบินเมืองเว้ จึงไม่ใหญ่เท่าสนามบินเมืองดานัง ถ้าโดยสารเครื่องบินไปจากไทยจะไม่มีไฟลท์ตรงเหมือนดานัง
เพราะฉะนั้นผู้อาวุโสต่างๆ ของอาเซียนที่มาประชุมจึงต้องต่อเครื่องบินอย่างน้อยก็ 2-3 ต่อด้วยกัน คือ บ้างก็บินลงที่กรุงฮานอย ทางทิศเหนือแล้วต่อมาเมืองเว้หรือบ้างก็บินไปลงที่เมืองโฮจิมินห์ หรือเดิมชื่อไซ่ง่อน ทางทิศใต้ ก่อนที่จะบินต่อไปเมืองเว้คณะทีมงานแอปเตอร์ของผม ตอนแรกก็ตั้งใจจะโดยสารเครื่องบินเพื่อไปลงดานัง เพราะมีสายการบินตรงจากกรุงเทพฯ แต่ลำบากตรงที่ทางการเวียดนามเขาไม่มารับที่สนามบินดานังทั้งนี้อาจเพราะไกลกันเป็นร้อยกิโลเมตร เขามีรถยนต์มารับเฉพาะที่สนามบินเมืองเว้เท่านั้น ตกลงพวกเราเลยต้องบินไปลงที่โฮจิมินห์และจึงต่อเครื่องภายในประเทศจากโฮจิมินห์ไปเว้อีกที ซึ่งก็เป็นเส้นทางเดียวกับคณะผู้อาวุโสจากกระทรวงเกษตรฯไทยบินไปเช่นเดียวกัน เลยกลายเป็นคณะใหญ่เกือบยี่สิบคนได้ รวมทั้งท่านรองปลัดกระทรวงเกษตรฯ ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะของฝ่ายไทย
เรื่องที่น่าตื่นเต้นที่กระผมอยากจะเล่าก่อนที่จะเข้าสู่การประชุมจริงๆ ก็เกิดขึ้นตอนช่วงการเดินทางนี้แหละ เรื่องของเรื่อง คือ ทั้งหมดพวกเราเดินทางโดยสายการบินไทย รักคุณเท่าฟ้า จากกรุงเทพฯถึงโฮจิมินห์และไปต่อด้วยสายการบินเวียดนามเพื่อต่อไปยังเมืองเว้ ดังที่บอกไปแล้ว เรามีเวลาต่อเครื่องประมาณ 2 ชั่วโมง คิดคำนวณแล้วน่าจะทัน เพราะได้ศึกษาคร่าวๆ โดยน้องเจ้าหน้าที่ว่า อาคารผู้โดยสารต่างประเทศกับภายในประเทศของโฮจิมินห์ห่างกันไม่มาก ใช้เวลาเดินทางประมาณ5 นาที เท่านั้น ระยะเวลา 2 ชั่วโมง ที่ว่า โดยหลักของการเดินทางต่อเครื่องบินแล้วถือว่าฉิวเฉียดมาก แต่เราก็เชื่อมั่นว่าจะต่อเครื่องได้ทัน ยิ่งมาเจอคนไทยกลุ่มใหญ่ที่เดินทางไปเที่ยวบินเดียวกันแล้ว เราก็ยิ่งอุ่นใจ
แต่ทว่า ความมั่นใจและอุ่นใจของพวกเรากลับค่อยๆ ลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ เมื่อคณะทั้งหมดถูกเรียกขึ้นไปนั่งบนเครื่องบินการบินไทย รักคุณเท่าฟ้า ที่สนามบินสุวรรณภูมิครับ ตอนเรียกขึ้นเครื่องเวลาออกก็ตรงดีอยู่หรอก คือ ประมาณ 07.35 น. แต่พวกเราใช้เวลานั่งรอในเครื่องนานขึ้นๆ จนผ่านไปประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง เจ้าหน้าที่สายการบินจึงประกาศแจ้งว่า เครื่องจะต้องรอคิวบินขึ้น ใช้เวลาประมาณ 40 นาที ถึงตอนนี้ทุกคนก็เริ่มประหวั่นพรั่นพึงแล้วว่า แล้วจะทันเครื่องบินไฟลท์ต่อไปไหม สักพักการประกาศที่กระผมเพิ่งเคยพบหลังจากที่เคยมีประสบการณ์นั่งเครื่องบินมานาน คือ เครื่องบินจำเป็นที่จะต้องจอดรอต่อไป เพราะว่าจะมีการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงอีก ผมและเพื่อนๆ ที่นั่งด้วยกันงงมากๆ ครับ เพราะอย่างที่บอก เพิ่งเคยพบเห็นว่าจะต้องมีการเติมน้ำมันในระหว่างนี้ ถึงตอนนี้เวลาล่วงเลยเวลาออกเดิมมา 1 ชั่วโมงเต็ม เท่ากับว่าพวกเรามีเวลาเปลี่ยนเครื่อง ซึ่งรวมทั้งการเข้าคิวตรวจพาสปอร์ตคนเข้าเมือง ไปรอรับกระเป๋า แล้วพากระเป๋าไปเช็คอินที่สายการบินภายในเวียดนามสนุกครับ มันส์มากๆ สำหรับการเดินทาง ทริปนี้ ทันหรือไม่ทันไฟลท์ต่อไป เดี๋ยวมาเล่าต่อครับ
ชาญพิทยา ฉิมพาลี
chanpithya@apterr.org
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี